ประชาไท - 6 ต.ค.48 กรีนพีซจับมือองค์กรเอกชนด้านสิ่งแวดล้อมตรวจอากาศนิคมฯ มาบตาพุด พบสารพิษก่อมะเร็งเกินมาตรฐานหลายตัว ด้านสผ.ยังอ้อมแอ้ม รับประกาศให้มาบตาพุดเป็นเขตควบคุมมลพิษแล้ว แต่ยังอนุมัติผุดโรงงานใหม่กว่า 100 โรง
กลุ่มกรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กลุ่มศึกษาและรณรงค์มลภาวะอุตสาหกรรม (CAIN) และโกลบอล คอมมิวนิตี้มอนิเตอร์ ได้ร่วมกันเปิดเผยรายงานเรื่อง "อะไรอยู่ในอากาศ ความลับที่คนมาบตาพุดและคนไทยยังไม่รู้"
โดยนำเสนอผลการเก็บตัวอย่างอากาศบริเวณนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง ตลอดระยะเวลา 5 เดือน พบสารเคมีกว่า 20 ชนิด และสารก่อมะเร็งหลายชนิดที่เกินระดับการเฝ้าระวังคุณภาพอากาศในบรรยากาศขององค์กรพิทักษ์สิ่งแวดล้อมแห่งสหรัฐอเมริกา (
สารเคมีอันตรายที่พบได้แก่ 1.เบนซีน สูงเกินมาตรฐานเฝ้าระวัง 60 เท่า 2.ไวนิลคอลไรด์ สูงเกินมาตรฐานเฝ้าระวัง 86 เท่า 3.คลอโรฟอร์ม สูงกว่ามาตรฐานเฝ้าระวัง 119 เท่า 4. ไดคลอโรอีเธน สูงเกินมาตรฐานเฝ้าระวัง 3,378 เท่า 5.สารประกอบอินทรีย์ระเหย และสารประกอบกำมะถัน 6-12 ชนิด โดยการตรวจวัดสภาพอากาศทำโดย "หน่วยกระป๋องตรวจมลพิษอากาศ" (Bucket Brigade) ที่เป็นอุปกรณ์เบื้องต้นไม่สลับซับซ้อนชาวบ้านสามารถเรียนรู้การใช้งานได้ จากนั้นนำตัวอย่างอากาศไปตรวจสอบยังห้องปฏิบัติการที่สหรัฐอเมริกา
ทั้งนี้ นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดตั้งขึ้นเมื่อปี 2532 บนพื้นที่กว่า
นาย
ขณะที่นาย
"ขนาดเราปีนไปเก็บตัวอย่างควันพิษที่ปล่องไฟโรงงานเอาไปตรวจ ก็ยังไม่ได้ผล เพราะบ้านเราใช้ระบบค่าเฉลี่ย มันก็ไม่เคยเกินมาตรฐานซักที"
นายวัชยุทธกล่าวต่อว่า แต่ไม่ว่าจะสหรัฐจะรับรองมาตรฐานอย่างไรก็ยังมีปัญหาการยอมรับจากราชการและบริษัทเอกชนอย่างยากจะหลีกเลี่ยง อีกทั้งการตรวจสอบในครั้งนี้ใช้เวลาค่อนข้างนานเกือบ 2 ปีทำให้ข้อมูลไม่ทันต่อสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งไม่แน่ใจว่าสภาพอากาศจะเลวร้ายยิ่งขึ้นแล้วหรือไม่
"แต่เห็นผลการตรวจสอบคราวนี้แล้วพวกเราค่อนข้างตกใจ เพราะมีสารเคมีที่ก่อมะเร็งอยู่ในอากาศมากมาย ก่อนหน้านี้ชาวบ้านทำได้อย่างมากก็แค่ร้องเรียนเมื่อมีกลิ่นเหม็น ในขณะที่สารพิษหลายตัวมันไม่มีกลิ่น" นายวัชยุทธกล่าว
ด้านนาย
ตัวแทนจากสผ.ระบุด้วยว่า ขณะเดียวกันทางคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติก็ได้มีมติไปแล้วว่าให้ประกาศเขตมาบตาพุดเป็นเขตควบคุมมลพิษไว้ก่อน เนื่องจากทางสาธารณสุขรายงานว่ามีชาวบ้านป่วยเป็นโรคทางเดินหายใจจำนวนมาก โดยรายละเอียดการกำหนดพื้นที่นั้น คาดว่าจะมีการนำเข้าหารือในที่ประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมในวันที่ 27 ต.ค.นี้ จากนั้นจะต้องมีการร่างแผนปฏิบัติงานจากหลายภาคส่วนในพื้นที่ เพื่อหาข้อกำหนดว่าระหว่างที่เป็นเขตควบคุมมลพิษนี้ ต้องการให้มีมาตรการจัดการอย่างไร และจะให้มีการอนุญาตก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่หรือไม่
"อีกเรื่องที่สำคัญคือ ที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้เรามัวแต่มุ่งศึกษาสารจำพวกซัลเฟอร์ โดยไม่สนใจพวก VOC หรือไอระเหยสารอินทรีย์ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ที่ออกจากปล่องโรงงานที่เผาไหม้ไม่หมด ปัจจุบันนี้เราไม่รู้เลยว่ามันมีเยอะแค่ไหน"นายสนธิกล่าว
ด้านนาย
รศ.ดร.
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)