Skip to main content
sharethis
  • คกก.ปฏิรูปการโยกย้ายถิ่นฐานฯ ชี้สถานการณ์ชายแดนไทย-เมียนมา ตรงข้าม จ.ตาก กำลังเปลี่ยน แก๊งอาชญากรรมข้ามแดนอาจเฟื่องฟู พร้อมด้วยกฎบังคับเกณฑ์ทหารเมียนมา อาจทำให้ผู้ลี้ภัยหนีการประหัตประหารเข้าไทยจำนวนมาก
  • คกก.ปฏิรูปการโยกย้ายถิ่นฐานฯ จึงมีข้อเสนอถึงรัฐบาล 2 ข้อหลัก คือ 1. การตั้งวอร์รูม ดึงคนทุกกระทรวง และองค์กรระหว่างประเทศมาทำงาน เก็บข้อมูล รับมือสถานการณ์ชายแดนตะวันตก
  • 2. ขยายพรมแดนช่วยเหลือมนุษยธรรมบนพื้นฐานสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน เปิดช่องทางการค้า เพิ่มจุดผ่อนปรน เพื่อสร้างเศรษฐกิจและเสถียรภาพบนพื้นที่ชายแดน ทำให้คนไม่ต้องไหลทะลักเข้าไทย และไทยต้องย้ำจุดยืนไม่รับผลประโยชน์กลุ่มทำธุรกิจนอกกฎหมาย

21 มี.ค. 2567 คณะกรรมการปฏิรูปการโยกย้ายถิ่นฐานแห่งประเทศไทย นำโดย ศิววงศ์ สุขทวี และ ชวรัตน์ ชวรางกูร โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กวันนี้ (21 มี.ค.) เผยแพร่มุมมองสถานการณ์ชายแดนตะวันตกของประเทศไทย ตรงข้าม อ.แม่สอด จ.ตาก และเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีมีบทบาทต่อ

ชายแดนตะวันตกไทย กำลังเผชิญปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 

โพสต์ดังกล่าวระบุว่า เมื่อวันที่ 1 มี.ค. 2567 มีรายงานข่าวที่ยืนยันว่า ตำรวจไทยและตำรวจจีนมีปฏิบัติการส่งคนจีนจำนวนกว่า 900 คน ซึ่งถูกจับกุมโดยกองกำลังพิทักษ์ชายแดน หรือ บีจีเอฟ (BGF) จากฝั่งเมียวดีประเทศเมียนมา ซึ่งในจำนวนนั้นมีทั้งเหยื่อและกลุ่มจีนสีเทาที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจผิดกฎหมายในพื้นที่เมียวดี และเมืองเลาก์ก่าย รัฐฉานเหนือ โดยทางการจีนได้ใช้พื้นที่แม่สอด จังหวัดตาก ในการขนย้ายคนจีนเหล่านี้กลับประเทศ ระหว่างวันที่ 1-2 มี.ค. 2567 วันละ 6 เที่ยวบิน รวม 12 เที่ยวบิน

ขณะที่ทางภาคประชาชนประเมินว่ามีผู้ที่อาจเข้าข่ายการเป็นผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวง และบังคับให้ทำงาน หรือถูกแสวงหาประโยชน์มากกว่า 100,000 คน ในพื้นที่เมืองชเวโก๊กโก่ (Shwe Kokko) และเมืองเคเคพาร์ค (KK Park) 1-4 และพื้นที่ใหม่ที่กำลังถูกพัฒนาในฝั่งตรงข้ามบ้านช่องแคบ อ.พบพระ จ.ตาก โดยเป็นคนจีนมากกว่าครึ่ง ที่เเหลือก็เป็นคนไทย และคนสัญชาติอื่นๆ ทั่วโลก

ขณะที่เมืองชเวโก๊กโก่ ซึ่งอยู่ติดกับแนวชายแดน อ.แม่ระมาด และ อ.แม่สอด จ.ตาก ห่างจากสะพานมิตรภาพไทย-พม่า แห่งที่ 1 ขึ้นไปทางเหนือประมาณ 20 กิโลเมตร (กม.) เป็นพื้นที่นี้อยู่ภายใต้การควบคุมของพันเอก ‘หม่องชิตตู่’ หัวหน้า BGF เต็มไปด้วยคาสิโนและโรงแรมหรู ศูนย์การค้า ร้านอาหาร สถานบันเทิง และที่พักอาศัยของนักลงทุนและนักธุรกิจที่ประกอบกิจกรรมฉ้อโกงหลอกลวงต้มตุ๋น

เมืองเคเคพาร์ค เดิมทีมีชื่อว่าเมืองเอเอ (AA) ตั้งอยู่ในพื้นที่ควบคุมของกองกำลัง BGF ภายใต้การนำของพันเอกเต่งวิน และเป็นเมืองที่มีทั้งคาสิโน ศูนย์การค้า สถานบันเทิง อาคารสำนักงานของแก๊งสแกมเมอร์ออนไลน์ข้ามชาติ รวมถึงที่พักของพนักงานรักษาความปลอดภัย หรือพนักงานบริการ

การเติบโตของธุรกิจผิดกฎหมายในพื้นที่ชายแดนอาจหมายถึงการเติบโตของกองกำลังติดอาวุธที่ให้ความคุ้มครองในพื้นที่อยู่ เมื่อกองกำลัง BGF ที่เคยรวมอยู่กับกองทัพเมียนมา และรับผลตอบแทนจากสภาบริหารแห่งรัฐ (SAC) ซึ่งมี พล.อ.อาวุโส มินอ่องหล่าย ผู้บัญชาการสูงสุดแห่งกองทัพเมียนมา เป็นประธานสภาฯ ได้เปลี่ยนชื่อเป็นกองทัพกะเหรี่ยง หรือ KNA และปฏิเสธไม่รับผลตอบแทนต่างๆ จาก SAC อีกต่อไป จนมีข่าวลือกันกว่ามีเงินจากกลุ่มทุนจีนผิดกฎหมายในพื้นที่ไหลไปสนับสนุนกองกำลัง เพื่อรับความคุ้มครองอยู่เดือนละหลายร้อยล้านบาท รวมทั้งปีอาจมากกว่าหลายพันล้านบาท และแน่นอนที่เงินบางส่วนก็คงจะไหลผ่านประเทศไทย เพื่อทำการฟอกเงิน ลำเลียงยาเสพติด  ค้าน้ำมันเถื่อน ไฟฟ้า ซิมโทรศัพท์ไทยสำหรับสแกมเมอร์  หรือขนย้ายแรงงานซึ่งหลายคนถูกหลอก เพื่อป้อนเข้าไปสู่ความต้องการของเมืองที่กำลังเติบโต และคงปฎิเสธไม่ได้ว่าทั้งนักธุรกิจและเจ้าหน้ารัฐในฝั่งไทยก็อาจมีส่วนเกี่ยวข้องและเกื้อหนุนการเจริญเติบโตของธุรกิจเหล่านี้ สถานการณ์ชายแดนตะวันตกของไทยจึงน่าเป็นห่วงมากขึ้นเมื่ออิทธิพลของกองทัพเมียนมากำลังถอยร่นออกไป อิทธิพลของกองกำลังที่ได้รับผลประโยชน์จากธุรกิจผิดกฎหมายกำลังเข้ามาแทนที่ และกำลังมีอิทธิพล มากกว่ากองกำลังอื่นๆ ที่ไม่ยอมรับผลประโยชน์จากกลุ่มทุนผิดกฎหมาย และถ้ากองกำลังเหล่านี้ต้องสูญเสียบทบาทและการควบคุมพื้นที่ลงไปเรื่อยๆ  ก็คงกระทบความมั่นคงของไทยในพื้นที่ชายแดนตะวันตกอย่างแน่นอน

คนพม่ากำลังอพยพจากกฎบังคับเกณฑ์ทหาร

ขณะที่สถานการณ์ในเมียนมากำลังสร้างให้เกิดคลื่นผู้อพยพจากประเทศเมียนมาครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง ชาวเมียนมาหลายล้านคนที่กำลังจะหนีจากนโยบายบังคับเกณฑ์ทหารที่กำลังจะเริ่มใช้อย่างจริงจังในเดือน เม.ย.นี้ ผู้พลัดถิ่นภายในประเทศเมียนมาอีกหลายแสนคนที่ต้องหนีจากความรุนแรงที่เกิดจากการสู้รบระหว่างรัฐบาลทหารเมียนมาและกลุ่มต่อต้านที่เริ่มเดินทางเข้ามาในประเทศไทย ก็ยังมีคนอีกหลายหมื่นคนจากทั่วโลกที่เดินทางผ่านเข้ามาไทยไม่ว่าจะตั้งใจเข้าร่วมธุรกิจผิดกฎหมายหรือกำลังถูกหลอกและถูกแสวงประโยชน์จากกลุ่มทุนเหล่านี้ในพื้นที่ชายแดนทางฝั่งเมียนมา

ชายแดนตะวันตกของเรากำลังเผชิญกับการขาดเสถียรภาพและส่งผลกระทบอย่างชัดเจนกับประเทศไทย การสร้างเสถียรภาพขึ้นอย่างน้อยในพื้นที่ที่ติดกับชายแดนของเราตั้งแต่รัฐฉานตอนใต้ รัฐกะเรนนี รัฐกะเหรี่ยง รัฐมอญ และเขตภูมิภาคตะนาวศรี ทั้งการบังคับใช้กฎหมายภายในพื้นที่ชายแดนของเมียนมาที่ติดกับเรา เพื่อหยุดยั้งการเติบโตของธุรกิจผิดกฏหมาย การหลอกหลวง การค้ามนุษย์ การค้ายาเสพติด การฟอกเงิน ฯลฯ จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนในสถานการณ์นี้

เสนอ รบ. 2 ข้อ รับมือสถานการณ์ชายแดนตะวันตก

สิ่งที่รัฐบาลและนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ควรต้องทำคือ 1) ต้องรีบจัดตั้งวอร์รูมมีทีมเฉพาะกิจทีทำงานรวบรวมข้อมูล สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงในแต่ละวัน กำหนดทิศทางและการทำงานที่ร่วมมมือกันของทุกหน่วยงาน ตั้งแต่สภาความมั่นคงแห่งชาติ มหาดไทย ต่างประเทศ แรงงาน กลาโหม คลัง พลังงาน ดิจิทัล กองทัพ ตรวจคนเข้าเมือง ภาคประชาสังคม องค์การสนประชาชาติ และประเทศพันธมิตรของไทยในการจัดการปัญหาเหล่านี้

ท่าทีของไทยที่จำเป็นต้องมุ่งไปที่การสร้างสันติภาพ ประชาธิปไตย และเสถียรภาพขึ้นมาในประเทศเมียนมาให้เกิดขึ้นโดยเร็ว เฉพาะหน้าอย่างน้อยในพื้นที่ที่ติดชายแดนไทย เพื่อทำให้การช่วยเหลือมนุษยธรรมของไทยไปถึงประชาชนที่ได้รับผลกระทบจริง และหยุดยั้งการดำเนินการของธุรกิจผิดกฏหมายในพื้นที่ติดชายแดนชายแดนไทยให้ได้

2) นโยบายการจัดการชายแดนที่ต้องขยายพรมแดนทางมนุษยธรรมออกไปบนพื้นฐานของเครือข่ายความสัมพันธ์ของผู้คนในพื้นที่ชายแดน การเปิดช่องทางทางการค้า และช่องทางการให้ความช่วยเหลือ ผ่านจุดผ่อนปรนที่มากขึ้นในพื้นที่ชายแดนในแต่ละชุมชน แต่ละอำเภอ ซึ่งจะช่วยให้ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน สังคม เศรษฐกิจในพื้นที่เข้มแข็งมากขึ้น ซึ่งจะทำให้พื้นที่ชายแดนสามารถรองรับผู้คนที่ไม่ต้องการเดินทางออกจากเมียนมาให้สามารถดำรงค์ชีวิตได้อย่างปลอดภัย ในขณะที่เศรษฐกิจชายแดนของไทยก็จะได้รับประโยชน์ไปพร้อมกันและจะเป็นแรงเสริมในการช่วยขับไล่กลุ่มทุนผิดกฏหมายออกไปจากพื้นที่

มาตราการนี้ต้องชัดเจนว่าจะไม่มีประโยชน์ต่อเนื่องไปถึงกลุ่มกองกำลังที่ให้การคุ้มครองธุรกิจนอกกฏหมายในพื้นที่ชายแดน ต้องแสดงให้เห็นว่าไทยจะไม่ปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มใหนก็ตามที่ได้รับประโยชน์จากกลุ่มธุรกิจนอกกฏหมาย ดำเนินการทางกฎหมายอย่างเด็ดขาดกับเจ้าหน้าที่รัฐและคนไทยที่ให้ความช่วยเหลือธุรกิจผิดกฎหมายเหล่านี้และทำให้เห็นว่าเราพร้อมเป็นมิตร ถ้ากลุ่มชาติพันธ์นั้นจะช่วยต่อต้านกลุ่มธุรกิจนอกกฏหมายเหล่านี้

"ความไม่สงบภายในประเทศเมียนมาสร้างความท้าทายให้ประเทศไทยและสังคมไทยเป็นอย่างมากเราจึงต้องการรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีที่เป็นมากกว่า 'เซลล์แมน' นายกรัฐมนตรีที่ไม่มัวแต่เดินทางไปยังต่างประเทศต่างๆ เพื่อไปขายของดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ แต่กลับลืมไปว่าเพื่อนบ้านเรากำลังเกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ และไฟก็ได้ลามมาถึงบ้านเราแล้ว" โพสต์ข้อความระบุ

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net