เครือข่ายสลัมสี่ภาค เครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ และ We Fair จัดขบวนเยือน กระทรวงการคลัง มหาดไทย และ พม. ชู 5 ข้อเรียกร้องค้านการตัดเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ แล้วกลับไปใช้ระเบียบเดิม ซึ่งคงสิทธิถ้วนหน้าโดยไม่ต้องพิสูจน์ความยากจน
17 ส.ค. 2566 เวลา 10.00 น. เครือข่ายสลัมสี่ภาค เครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ และเครือข่ายรัฐสวัสดิการเพื่อความเท่าเทียมและเป็นธรรม (We Fair) จัดกิจกรรม “ค้านการตัดเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ” โดยจัดขบวนไป 3 ที่ ได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
การชุมนุมดังกล่าว สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 11 ส.ค.2566 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงิน เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2566 ลงนามโดย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ประเด็นสำคัญที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์คือ มีการปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ แก้คุณสมบัติของผู้มีสิทธิได้รับเบี้ยยังชีพ ต้องเป็น “ผู้ที่ไม่มีรายได้” หรือ “มีรายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพ” ตามที่คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติกำหนด
เป็นการเปลี่ยนเกณฑ์จากเดิมที่ให้แบบถ้วนหน้า ไปเป็นการให้แบบสังคมสงเคราะห์เฉพาะคน
จากเดิมที่ต้องมีสัญชาติไทย มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีอายุหกสิบปีบริบูรณ์ขึ้นไป โดย "ไม่เป็นผู้ได้รับสวัสดิการหรือสิทธิประโยชน์อื่นใดจากหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นฯ"
ภาพ: Chanakarn Laosarakham
เวลา 10.25 น. เครือข่ายสังเกตการชุมนุม Mob Data แจ้งต่อผู้สื่อข่าวว่า ผู้ชุมนุมเคลื่อนมาที่ประตู 4 สำนักงบประมาณ มีการเขย่าประตูที่ปิดไว้แต่ตัวแทนขอไม่ให้ทำ ให้โห่ไล่และย้ำไม่ได้อยากจะเข้าไป จากนั้นเริ่มอ่านแถลงการณ์เครือข่ายประชาชน 53 องค์กร 1,468 รายชื่อ "ปกป้องสวัสดิการประชาชน คัดค้านการตัดเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ" ข้อเรียกร้องเช่น ให้ยกเลิกระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2566 แล้วกลับไปใช้ระเบียบเดิม ซึ่งคงสิทธิถ้วนหน้าโดยไม่ต้องพิสูจน์ความยากจน และผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้รัฐสวัสดิการเกิดขึ้น
ภาพ: Chanakarn Laosarakham
12.05 น. องค์กรเครือข่ายเดินทางมายังกระทรวงมหาดไทย ต่อมาผู้แทนสำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยออกมารับหนังสือยกเลิกระเบียบพิสูจน์ความจนคนชรา
12.30 น. องค์กรเครือข่ายเดินทางมายังกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มวลชนรวมตัวกันนั่งที่บันไดทางเข้าอาคาร
“รัฐบาลนี้ไม่ต้องการที่จะช่วยคนจนเลย ต้องการให้เรายิ่งจน ยิ่งทำให้เราต้องก้มหน้าหาเงิน”
กรกนก คำตา ตัวแทนจากกลุ่มทำทาง กล่าวว่า เงินเบี้ยเลี้ยงผู้สูงอายุเป็นเงินที่แบ่งเบาการทำงานของคนรุ่นใหม่ที่ต้องส่งให้ครอบครัวที่อยุ่ต่างจังหวัด เมื่อรัฐปรับนโยบายให้ผู้สูงอายุพิสูจน์ความจนทำให้การส่งเงินกลับไปที่บ้านในแต่ละครั้งมากขึ้น ทำคนรุ่นใหม่ต้องหาเงิน และใช้เงินอย่างจำกัด ไม่มีโอกาสไปลืมตาอ้าปาก เงิน 600-700 บาท จากรัฐบาลนั้นสามารถช่วยเหลือให้คุณภาพชีวิตเราดีขึ้นได้ยิ่งครอบครัวที่มีผู้สูงอายุหลายคน อีกทั้งเมื่อปรับนโยบายนั้นไม่ใช่ทุกครอบครัวที่ผู้สูงอายุจะมีคนพาไปพิสูจน์ และความยากในการเข้าถึงเทคโนโลยีของผู้สูงอายุก็ยากเช่นกัน เงินผู้สูงอายุเบื้องต้นต้องถ้วนหน้า
ภาพ: Chanakarn Laosarakham
เวลา 13.05 น. อนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ แรมรุ้ง วรวัธ รองปลัดกระทรวง ลงมาร่วมฟังแถลงการณ์ และรับหนังสือจากตัวแทนผู้สูงอายุ
อนุกูล ปีดแก้ว กล่าวหลังจากรับหนังสือว่าอยากให้มั่นใจได้ว่ากระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์จะไม่ทำให้ผู้สูงอายุผิดหวังแน่นอน… ทั้งท่านและเรามีจุดยืนอันเดียวกัน คือการปกป้องสิทธิของผู้สูงอายุ
ภาพ: Chanakarn Laosarakham
แถลงการณ์ร่วมเครือข่ายประชาชน 53 องค์กร 1,468 รายชื่อ "ปกป้องสวัสดิการประชาชน คัดค้านการตัดเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ" วันที่ 17 สิงหาคม 2566
ในห้วงยามที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว รัฐบาล 'ประยุทธ์' ยังคงรักษาการในช่วงการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ กระทรวงมหาดไทยได้ออกหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2566 โดยเพิ่มคุณสมบัติการเป็นผู้ไม่มีรายได้หรือมีรายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพ เป็นเงื่อนไขในการรับเบี้ยยังชีพ ทั้งที่ทศวรรษกว่านับตั้งแต่ป๊ 2552 สวัสดิการเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุได้ถูกปรับจากระบบสงเคราะห์คนยากไร้อนาถามาเป็นสิทธิสวัสดิการระบบถ้วนหน้า ขอเพียงให้ประชาชนมีอายุ 60 ปี และไม่ได้รับสวัสดิการหรือบำนาญอื่นใดจากรัฐในลักษณะเดียวกัน
จนเมื่อเข้าสู่การรัฐประหาร 2557 การบริหารประเทศภายใต้การนำของประยุทธ์ จันทร์โอชา การดำเนินนโยบายด้านสวัสดิการสังคม ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการคลัง และกระทรวงมหาดไทย กลับลิดรอนสิทธิสวัสดิการของประชาชน ลดทอนด้อยค่า ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ด้วยการให้พิสูจน์ความยากจน แสดงถึงความไม่เชื่อมั่นในระบบสวัสดิการถ้วนหน้าอันเป็นการเคารพสิทธิเสมอกันของประชาชน และส่งเสริมคุณภาพชีวิตของพลเมือง ยิ่งสังคมไทยเข้าสู่สังคมสูงวัย จำนวนผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น รัฐควรต้องออกโรงมาปกป้องดูแลทรัพยากรมนุษย์ ผู้เป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนประเทศ ด้วยการเพิ่มสิทธิสวัสดิการ ยกระดับคุณภาพชีวิต ในฐานะพลเมือง ทรัพยากรบุคคลของประเทศ
ในนามของพลเมืองที่ได้รับผลกระทบจากการออกระเบียบของกระทรวงมหาดไทย และหลักเกณฑ์ของคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ เราจะร่วมกันปกป้องสวัสดิการประชาชน และร่วมกันคัดค้านการตัดเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ โดยมีข้อเรียกร้องร่วมกันดังนี้
1. กระทรวงมหาดไทย ให้ยกเลิกระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2566 แล้วกลับไปใช้ระเบียบเดิม ซึ่งคงสิทธิถ้วนหน้าโดยไม่ต้องพิสูจน์ความยากจน และตัดสิทธิการรับสวัสดิการซ้ำซ้อนไว้แล้ว
2. คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติต้องออกมาปกป้องหลักเกณฑ์การจ่ายสิทธิของผู้สูงอายุทุกตน ไม่ให้ถูกลิดรอนต่ำลงไปกว่าที่เคยเป็น ด้วยการไม่สนองตอบต่อหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2566
3. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ต้องมีบทบาทสำคัญในการยกระดับการเปลี่ยนเบี้ยยังชีพให้เป็นระบบบำนาญถ้วนหน้า ด้วยการออกเป็นกฎหมายรองรับ ไม่ใช่ใช้หลักนโยบายการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุตามมติคณะรัฐมนตรี
4. กระทรวงการคลัง ต้องมีบทบาทในการสร้างความเข้มแข็งทางการคลัง โดยการตัดงบประมาณรายจ่ายที่ไม่จำเป็น และหาแหล่งรายได้ใหม่ๆ เข้ารัฐ เพื่อเพิ่มรายได้ในการจัดสวัสดิการสังคมให้กับประชาชนแบบถ้วนหน้า เช่น การศึกษาถึงความเป็นไปได้ในการจัดเก็บภาษีความมั่งคั่ง ภาษีลาภลอย ภาษีกำไรจากการซื้อขายหุ้น เป็นต้น
5. รัฐบาลใหม่ ต้องผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้รัฐสวัสดิการเกิดขึ้น สวัสดิการต้องเป็นสิทธิแบบถ้วนหน้าและบรรจุในกฎหมายให้ชัดเจน
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)