ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย ชี้เปิดประเทศ 1 พ.ย. ธุรกิจจะยังร้าง เหตุไม่มีทุนกลับมาเปิดกิจการ 'ยุทธพงศ์' ชี้โครงการซื้อเรือดำน้ำความผิดสำเร็จแล้ว เหตุกองทัพเรือจ่ายภาษีแทนเอกชน - 'จิราพร' ท้วงหากจะเข้า CPTPP ดูรอบคอบแล้วหรือยัง ห่วงเร่งรีบจะได้ไม่คุ้มเสีย ชี้อย่าให้เสียหายซ้ำรอยเหมืองทองอัครา
ที่มาภาพประกอบ: Unsplash/Yasuo Takeuchi
17 ต.ค. 2564 นายจิรพงษ์ ทรงวัชราภรณ์ ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย กล่าวว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 และความพร้อมเปิดประเทศไทยยังอยู่ในสถานการณ์ที่น่าไว้ใจ เพราะตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ ตัวเลขผู้เสียชีวิต และผู้รักษาตัวยังคงไม่ลดลง พื้นที่ระบาดยังอยู่ในเมืองหลัก อย่างกรุงเทพ และสมุทรปราการ ซึ่งได้รับเสียงสะท้อนจากผู้ประกอบการหลายคนที่ยังสับสนว่าการเปิดกิจการจะต้องทำอย่างไรบ้าง และจะเอาเงินที่ไหนมาฟื้นฟูเพื่อเปิดกิจการอีกครั้ง เพราะเข้าไม่ถึงมาตรการเยียวยาการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ของรัฐ ที่มีเงื่อนไขปล่อยกู้ที่เข้มงวดมากเกินไป มาตรการแบงค์ชาติพักชำระหนี้ 2 เดือน กำลังจะหมดสิ้นเดือนนี้ ซึ่งหากผู้ประกอบการมีสินเชื่อเงินกู้เบิกเกินบัญชี (OD) อยู่ ก็จะถูกบังคับจ่าย จุงไม่มีเงินเหลือเพียงพอที่จะกลับมาเปิดกิจการ บางรายเจอครบรอบกำหนดการพักชำระหนี้ 6 เดือนอีก ยิ่งกลายเป็นภาระหนักขึ้น 2 เท่า
นายจิรพงษ์ กล่าวอีกว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศไม่มี การแพร่ระบาดรุนแรง ขั้นตอนยุ่งยาก รัฐบาลเปิดประเทศแล้ว แต่เปิดไม่หมด สร้างความลำบากให้กับต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามา เพราะกิจการหลายอย่างยังไม่สามารถเปิดทำการได้ จึงเสนอให้รัฐบาลนำกองทุนหมู่บ้าน กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี สมัยรัฐบาลดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ทำเอาไว้ จะได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศไทย
นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวปิดท้ายว่า หากรัฐบาลมั่นใจว่าไทยสามารถเปิดประเทศไทยได้อย่างปลอดภัย 1 พ.ย. นี้ ก็ขอให้ช่วยผ่อนปรนมาตการเคอร์ฟิว 5 ทุ่ม-ตี 3 เพื่อให้คนในประเทศเริ่มมีการเตรียมพร้อมและทำมาหากินได้ เพราะเวลา 4 ชั่วโมงนี้มีคุณค่ากับคนทำงานกลางคืน ทั้งนี้กลุ่มคนทำงานกลางคืนไม่ได้มีแค่ผับบาร์ แต่ยังมีกลุ่มพ่อค้าแม่ค้า ค้าขาย-ขนสินค้าเตรียมขายของ และกลุ่มคนขับรถรับจ้าง-แท็กซี่ด้วย ช่วยคิดเผื่อและเปิดโอกาสให้คนทำมาหากินได้ด้วย
'ยุทธพงศ์' ชี้โครงการซื้อเรือดำน้ำความผิดสำเร็จแล้ว เหตุกองทัพเรือจ่ายภาษีแทนเอกชน
นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า มหากาพย์โครงการจัดซื้อเรือดำน้ำ มูลค่ารวม 44,222 ล้านบาท พบว่ามีความเชื่อมโยงบริษัท CSOC กับตัวแทนในประเทศไทยคือ บริษัท ณัฐพล จำกัด อย่างชัดเจน เนื่องจากบริษัท CSOC คือบริษัทตัวแทนนายหน้าในประเทศไทย ของนายวรพจน์ หรือเสี่ยบอย-SKY ผู้ถือหุ้นบริษัท ณัฐพล ดังนั้นบริษัท CSOC จึงไม่ได้เป็นตัวแทนรัฐบาลจีนแบบที่กล่าวอ้าง แต่เป็นเพียงนายหน้าที่เข้ามาทำ GtoG เก๊เท่านั้น เพราะมีหลักฐานใบเสร็จความสำเร็จแล้วคือ การจัดซื้อเรือดำน้ำลำที่ 1 มูลค่า 12,424 ล้านบาท แบบไม่มีเครื่องยนต์ กองทัพเรือมีหนังสือแจ้งถึงถึง กมธ. งบฯ ว่าได้ทำการทยอยจ่ายภาษีแทนบริษัท CSOC ไปแล้ว 463 ล้านบาท จาก 820 ล้านบาท ทั้งที่กฎหมายยกเว้นการจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มหากมีการจัดซื้อแบบ GtoG
นอกจากนี้ ยังปรากฎว่า บริษัท CSOS รับทำโครงการสร้างท่าเรือจอดเรือดำน้ำ 857 ล้าน แบ่งเป็นการขุดลอด 833 ล้าน ค่าใช้จ่ายพิเศษ 24 ล้าน และโครงการอู่ซ่อมเรือดำน้ำ 995 ล้าน ปรากฎงบสร้างห้องน้ำห้องส้วม 2 หลัง 3 ล้านบาท แพงกว่าบ้านทาวน์เฮาส์ใน กทม. อีกด้วย
นายยุทธพงศ์ กล่าวว่า ขอตั้งคำถามถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อธิบดีกรมสรรพากร และ พล.อ.สมประสงค์ นิลสมัย ผบ.ทร. ว่าทำไมกองทัพเรือจึงต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มแทนบริษัท CSOC ทั้งที่ GtoG ได้รับการยกเว้น การกระทำแบบนี้คือพฤติกรรมร่วมมือกับต่างชาติ โกงเงินภาษีประชาชนใช่หรือไม่ ขอให้ช่วยตรวจสอบความไม่ชอบมาพากลสร้างความโปร่งใสให้กับเรื่องนี้ โดยทั้งหมดสัปดาห์หน้าจะยื่นเรื่องทวงถามต่อไป
'จิราพร' ท้วงหากจะเข้า CPTPP ดูรอบคอบแล้วหรือยัง ห่วงเร่งรีบจะได้ไม่คุ้มเสีย ชี้อย่าให้เสียหายซ้ำรอยเหมืองทองอัครา
นางสาวจิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด ในฐานะรองโฆษก และประธานคณะอนุกรรมการนโยบายด้านการพาณิชย์และการค้าระหว่างประเทศของพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกระแสข่าวที่คณะรัฐมนตรีจะพิจารณาเข้าร่วมความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) ในสัปดาห์หน้าว่า สถานการณ์การเข้าร่วม CPTPP ได้เปลี่ยนไปแล้ว เพราะมีอังกฤษ จีน และจีนไทเป แจ้งเข้าร่วมเพิ่ม รัฐบาลจึงต้องศึกษาใหม่อย่างรอบคอบ อย่าเร่งรัดดำเนินการด้วยการอาศัยเพียงข้อมูลการศึกษาเก่า ไม่เช่นนั้นไทยจะได้ไม่คุ้มเสีย
ทั้งนี้ ผ่านมาเกือบ 1 ปี รัฐบาลยังคลุมเครือ ไม่สามารถหาจุดร่วมที่ทุกฝ่ายเห็นพ้องไปในทิศทางเดียวกันได้ และไร้ความชัดเจนว่าจะดำเนินการตามคำแนะนำจากรายงานผลการศึกษา CPTPP ของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งถือเป็นเงื่อนไขให้รัฐบาลต้องแก้ไขจุดอ่อนในด้านต่างๆ ของไทยก่อนเข้าร่วม CPTPP โดยเฉพาะการสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากและพี่น้องเกษตรกรให้พร้อมต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากความตกลงดังกล่าว และยังมีกระแสข่าวว่ารัฐบาลกำลังเร่งส่งหนังสือเข้าร่วม CPTPP โดยใช้ข้อมูลเก่าอ้างอิง ขาดการศึกษากรณีการเข้าร่วม CPTPP ของอังกฤษ จีน และจีนไทเป ไม่ได้หารือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อหาข้อสรุปร่วมโดยเฉพาะกับองค์กรผู้บริโภคและเกษตรกร จึงชี้ให้เห็นว่า การบ้านเก่าที่เคยได้รับโจทย์จากสภาผู้แทนราษฎรก็ยังไม่ได้ส่ง การบ้านใหม่ก็ยังไม่ได้ทำ แต่ไปทำในสิ่งที่ยังไม่ควรทำคือการเร่งรีบจะเข้าร่วมความตกลง CPTPP จึงไม่ได้ต่างอะไรกับกรณีการเร่งรัดปิดเหมืองทองอัครา จนทำให้ไทยถูกเอกชนฟ้องศาลอนุญาโตตุลาการ
“ขอให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ออกมาชี้แจงว่าการเข้าร่วม CPTPP ของไทย ได้คุ้มเสียหรือไม่ มีการเตรียมความพร้อมประเทศอย่างไรบ้าง เพื่อให้สามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้ และต้องอธิบายผลการศึกษากรณีอังกฤษ จีน และจีนไทเป เข้าร่วมความตกลง CPTPP เพราะหากไม่มีความชัดเจน ก็ไม่ต่างอะไรกับการที่ พล.อ.ประยุทธ์ ยึดการลงทุนเหมืองทองโดยขาดความรอบคอบ ทำให้ไทยถูกเอกชนฟ้องให้ชดใช้ค่าเสียหายนับหมื่นล้าน เหมือนเอาประชาชนและประเทศชาติเป็นจำเลย” จิราพร กล่าว
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)