นายไพโรจน์ สุขสัมฤทธิ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กล่าวว่า ตามที่สปส.ปรับเพิ่มเงินสงเคราะห์บุตรเป็น 350 บาทต่อเดือนต่อคน ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2548 และได้รับเงินตกเบิกตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป

ขณะนี้สปส.ได้สั่งจ่ายเงินสงเคราะห์บุตรประจำเดือนมีนาคม 2549 มีผู้ใช้สิทธิรวมแล้ว 817,249 ราย เม็ดเงินที่สั่งจ่าย 367,683,750 บาท โดยโอนเงินเข้าบัญชีผู้ประกันตนในเดือนเมษายน 2549 ได้แก่

(1)    ธนาคารกสิกรไทย จำนวน 92,764 ราย เป็นเงิน 42,109,400 บาท

(2)    ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำนวน 85,843 ราย เป็นเงิน 38,733,050 บาท

(3)    ธนาคารกรุงเทพ จำนวน 246,246 ราย เป็นเงิน 110,635,150 บาท

(4)    ธนาคารไทยพาณิชย์ จำนวน 123,333 ราย เป็นเงิน 55,794,350 บาท

(5)    ธนาคารทหารไทย จำนวน 41,115 ราย เป็นเงิน 18,303,500 บาท และ

(6)    ธนาคารกรุงไทย จำนวน 227,948 ราย เป็นเงิน 102,108,300 บาท

ผู้ประกันตนที่มีสิทธิรับเงินสงเคราะห์บุตรได้ ต้องเป็นผู้ประกันตนตามกฎหมายตามมาตรา 33 และ 39 จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือน ภายในระยะเวลา 36 เดือนก่อนมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทน ส่วนบุตรที่จะได้รับการสงเคราะห์ต้องเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฏหมาย อายุไม่เกิน 6 ปีบริบูรณ์ และขอรับประโยชน์ได้คราวละไม่เกิน 2 คน

หลักฐานที่ใช้ยื่นขอรับประโยชน์ได้แก่ สำเนาสูติบัตรบุตร สำเนาบัตรประชาชน และสำเนาสมุดบัญชีออมทรัพย์หน้าแรกที่มีชื่อและเลขบัญชี หากใช้สิทธิ์ผู้ประกันตรชาย จะต้องเป็นบุตรที่ถูกต้องตามกฎหมาย และหลักฐานเดียวกับผู้ประกันตนหญิง และเพิ่มสำเนาทะเบียนสมรส หรือหนังสือรับรองบุตร (กรณีไม่จดทะเบียนสมรส)

ในส่วนของเงินตกเบิก สำหรับผู้ประกันตนที่มีสิทธิในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2548 - สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2549 รวม 4 เดือน ๆ 150 บาท สปส.จะสั่งจ่ายย้อนหลังภายในสิ้นเดือนพฤษภาคม 2549 พร้อมเงินสงเคราะห์บุตรของเดือนเมษายน 2549 โดยการโอนเงินผ่านบัญชีออมทรัพย์ของผู้ประกันตนทั้งหมด หากผู้ประกันตนมีข้อสงสัยสอบถามได้ที่สปส.ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506

ข่าวจาก: เวบไซต์ผู้จัดการออนไลน์