Skip to main content
sharethis


 


เริ่มเป็นที่กังวลกันอย่างจริงจังแล้วสำหรับชาวอังกฤษที่พบว่า ขณะนี้มีคนที่เรียกว่าภาวะโภชนาการเกินหรือโรคอ้วนอยู่ถึง 1 ใน 4 ของประชาชนทั้งหมด และโรคนี้เกิดขึ้นพอๆ กันทั้งในเพศหญิงและเพศชายด้วย


 


จากสถิติของชาติโดยการศึกษาของศูนย์ข้อมูล Health and Information Care Centre พบว่าไม่มีสัญญาณใดๆ ที่จะแสดงให้เห็นว่า จำนวนคนอ้วนจะลดลงด้วย ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ในอังกฤษต่างก็ยังคงตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ


 


สำหรับผู้ชายนั้น อัตราภาวะโภชนาการเกินเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าจาก 10 ปีที่ผ่านมา คือจาก 13.2% ในปี 1993 เป็น 23.6% ในปี 2004 ส่วนผู้หญิงนั้น การเพิ่มขึ้นอาจจะน้อยกว่าเล็กน้อยคือจาก 16.4% ในปี 1993 เป็น 23.8% ในปี 2004


 


บรรดาแพทย์และผู้รณรงค์เรื่องการป้องกันโรคอ้วนต่างก็ได้ออกมาเตือนกันมาเป็นเวลานานแล้วว่า ความอ้วนนั้นจะเป็นผลเสียต่อสุขภาพของแต่ละคน และยังจะส่งผลให้มาเป็นภาระต่อระบบบริการสุขภาพของส่วนร่วมและเป็นภาระทางเศรษฐกิจด้วย


 


จากการศึกษาพบว่า มีอยู่จำนวนมากที่มีภาวะโภชนาการเกินตั้งแต่อายุยังน้อย จากปี 1995 มวลร่างกาย (body mass indes-BMI- มาตรฐานส่วนสุงและน้ำหนัก) ของเด็กผู้ชาย ได้เพิ่มขึ้นจากมาตรฐานที่อัตราเฉลี่ยอยู่ที่ 17.6 ไปอยู่ที่ 18.1 ในเด็กอายุ 2 -15 ปี ในขณะที่ BMI ของเด็กหญิงเพิ่มขึ้นจาก 18 เป็น 18.4 จากการวัดในช่วงเวลาเดียวกัน


 


รายงานกล่าวว่า นี่คือการเพิ่มขึ้นถึงแม้ว่าจะดูว่าเล็กน้อย แต่กระนั้น นี่ก็เป็นตัวชี้วัดว่า "เด็กอังกฤษโดยเฉลี่ยแล้วตัวใหญ่ขึ้น"


 


การวิจัยได้มองไปถึงเรื่องปัจจัยการใช้ชีวิต (lifestyle) ด้วย ซึ่งหลายๆอย่างก็ดูดีขึ้น เช่น การสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การออกกำลังกายและโภชนาการ ทั้งนี้ จำนวนของผู้สูบบุหรี่โดยรวมลดลงในรอบ 10 ปีให้หลังมานี้ แต่ว่านี่ก็เป็นครั้งแรกที่พบว่าจำนวนผู้หญิงสูบบุหรี่มีมากกว่าผู้ชาย โดยอัตราส่วนของผู้ชายสูบบุหรี่ลดลงจาก 28% ในปี 1993 เป็น 22% ในปี 2004 ในขณะที่อัตราผู้หญิงสูบบุหรี่ลดลงช้ากว่า กล่าวคือจาก 26% เป็น 23%


 


อัตราการบริโภคแอลกอฮอล์นั้นก็แตกต่างกันไปในแต่ละกลุ่มอายุ ชายหนุ่มอาจดื่มเกินกว่าแนวทางที่กำหนดว่า สูงสุดไม่เกิน 4 ยูนิตต่อวันสำหรับผู้ชายและ 3 ยูนิตต่อวันสำหรับผู้หญิง โดยในรายงานดังกล่าวพบว่า ผู้หญิงอายุ 16 ถึง 24 ปี มีสัดส่วนการบริโภคมากกว่า 3 ยูนิต เพิ่มขึ้นจาก 39% ในปี 1998 เป็น 49% ในปี 2002 และลดลงมาเป็น 43% ในปี 2004


 


การวิจัยยังพบว่า ผักและผลไม้นั้นมีบทบาทสำคัญในการโภชนาการของชาติ บางทีอาจเป็นไปได้ว่าเป็นผลจากการรณรงค์ให้กินอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพนั่นเอง สัดส่วนของผู้ใหญ่ที่รับประทานผักและผลไม้อย่างน้อย 5 ส่วนต่อวันเพิ่มขึ้นจาก 22% เป็น 24% ในผู้ชายและ จาก 25% เป็น 27% ในผู้หญิงระหว่างปี 2001-2004


 


รายงานยังพบด้วยว่า คนออกกำลังกายมากขึ้น ตั้งแต่ปี 1997 ถึงปี 2004 มีจำนวนผู้ใหญ่ที่ออกกำลัง 30 นาทีซึ่งเป็นเวลาอย่างน้อยที่สุดที่เหมาะสมในการออกกำลังกายอย่างน้อย 5 ครั้งต่อสัปดาห์เพิ่มขึ้น โดยสัดส่วนของผู้ชายเพิ่มขึ้นมากจาก 32 เป็น 35% ส่วนผู้หญิงเพิ่มขึ้นจาก 21 เป็น 24%


 


ศาสตราจารย์เดนิส ไลเวสลีย์ ผู้บริหารศูนย์ข้อมูลกล่าวว่า รายงานชิ้นนี้ได้ให้ข้อมูลที่มีค่ามากซึ่งสามารถนำมาใช้เพื่อการปรับปรุงสุขภาพของชาติ


 


"ข้อมูลแนวโน้มทำให้เราได้เห็นว่า ประชาชนกำลังใส่ใจในความสำคัญสารการสาธารณสุขเพื่อปรับปรุงโภชนาการของเราหรือไม่ ได้มีออกกำลังกายมากขึ้น ลดการสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงการบริภาคเครื่องดื่มแอลกอกอล์มากเกินไปหรือไม่"


 


ทั้งนี้ การวิจัยดังกล่าวเก็บข้อมูลจากผู้ใหญ่ 8 พันคน และเด็กอายุ 2 ถึงปี อีก 2 พันคน


 


---------------------------------------------


เรียบเรียงจาก time on lines.

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net