ในงานสัมมนาวิชาการเรื่อง "การเมืองของสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น: กรณี EIA รถไฟฟ้า กทม." มีการพูดคุยถึงบทบาทหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) กับการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) โดยหยิบยกประเด็นตัวอย่างรถไฟฟ้าบีทีเอสมานำเสนอ
งานสัมมนาดังกล่าวอยู่ภายใต้โครงการวิจัยธรรมาภิบาลด้านการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น: ศึกษากรณีการริเริ่มของท้องถิ่น กระบวนการนโยบาย และปัจจัยสู่ความสำเร็จ มี รศ.ดร.
ทั้งนี้ ภายหลังจากที่สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ได้ส่งหนังสือถึงผู้ว่าฯ กทม.เพื่อให้ส่งรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment : EIA) ในส่วนที่มีการขยายเส้นทางเพิ่มจากถนนพระเจ้าตากสินไปถึงถนนเพชรเกษม บริเวณบางหว้าระยะทาง
เวทีสัมมนาได้หยิบยกประเด็นถกเถียงเกี่ยวกับหน้าที่รับผิดชอบของท้องถิ่นในการจัดทำอีไอเอ นอกจากนี้ยังมีประเด็นว่า เจ้าของโครงการหรือผู้รับผิดชอบควรเป็นขององค์กรปกครองท้องถิ่นหรือรวมไปถึงรัฐบาลกลางด้วย
รศ.ดร.
ทั้งนี้ เพราะ อปท.ก็คือรัฐบาลท้องถิ่น (Local Government) ที่รัฐยินยอมให้จัดตั้งขึ้น โดยมีผู้บริหารที่เป็นตัวแทนของประชาชนที่มาจากการคัดเลือกตามหลักประชาธิปไตย และมีความเป็นอิสระของท้องถิ่นอยู่ด้วย
"หลังปี 2540 เป็นต้นมา อปท.มีอยู่เต็มพื้นที่และมีงบประมาณลงไปเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่าในช่วงที่ผ่านมา แล้วท้องถิ่นทำอะไรได้บ้าง เราจะพบว่าความจริงทำได้แต่ไม่มีแรงจูงใจ เพราะต้องรบกับรัฐบาลส่วนกลาง ทำให้ท้องถิ่นไม่กล้าทำ ไม่อยากไปแข่ง เพราะมีแต่แพ้ ยกเว้นฐานะการคลังดีจริงๆ ซึ่ง กทม.มีงบ 3 หมื่นล้านก็สามารถทำอะไรได้มากหน่อย" รศ.ดร.นครินทร์ กล่าว
ทั้งนี้ คณบดีคณะรัฐศาสตร์ มธ. ได้ชี้ถึงจุดอ่อนในเขตเมืองที่สำคัญที่สุดคือ ระบบขนส่งมวลชน โดย มติ ครม.ออกมากำหนดให้รถไฟฟ้าบีทีเอสลงทุนโดยเอกชน 100% ส่วนรัฐบาลเลือกลงทุนในรถไฟฟ้ามหานคร (รฟม.) เท่ากับว่ามี 2 มาตรฐานที่รัฐบาลปฏิบัติ ทั้งยังถือเป็นการก้าวล่วงความเป็นอิสระของท้องถิ่นอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม เมื่อกล่าวถึงการจัดทำอีไอเอในโครงการสำคัญๆ ที่กระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างกรณีบีทีเอสนั้น รศ.ดร.
นอกจากนี้ คณบดีคณะรัฐศาสตร์ มธ.เสนอว่า "ผมอยากเสนอให้มีสมาคมท้องถิ่น เพราะตอนนี้ อปท.อ่อนแอมาก ส่วน กทม.ก็แทบไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับใคร วันนี้มีความจำเป็นต้องมีสมาคมขึ้นมาเพื่อต่อรองกับรัฐบาลกลาง โดยมีนักวิชาการเป็นที่ปรึกษาทำงานร่วมกัน นอกจากนี้ผมเสนอให้ อปท.ยืมตัวบุคลากรของรัฐเพื่อมาช่วยการบริหารด้านการเงิน เพราะที่ผ่านมารัฐบาลทำตัวอยู่บนหิ้งไม่เข้ามายุ่ง ไม่ลงมาช่วย ไม่มีแนวคิดหุ้นส่วนกับท้องถิ่นเลย หากมีคนของรัฐบาลกลางมาจะช่วย ก็จะเป็นการเปิดทางให้ท้องถิ่นสามารถกู้เงินและออกพันธบัตรเองได้โดยไม่จำเป็นต้องแบมือขอเงินรัฐบาลอีกต่อไป"
ขณะเดียวกัน หัวหน้าคณะวิจัยย้ำในตอนท้ายว่า การบริการสาธารณะนั้นถือว่ามีความสำคัญมากสำหรับพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย และเจ้าภาพก็มีสำคัญมากแต่ประชาชนมักไม่สนใจ โดยถ้าให้รัฐบาลกลางทำบริการสาธารณะเองก็มักไม่ใส่ใจความต้องการที่แท้จริงของประชาชน ในที่สุด อปท.เคลื่อนไม่ได้ ไม่ใช่เพราะใคร ศัตรูที่ตัวฉกาจที่สุดก็คือรัฐบาลนั่นเอง
ด้าน ผศ.
ผศ.สัญชัย กล่าวว่า อีไอเอมีความสำคัญ จะต้องได้ข้อมูลถูกต้องครบถ้วนและนำไปสู่การตัดสินใจในโครงการต่างๆ โดยเป็นการคาดการณ์ผลกระทบหลัก 4 ด้าน ได้แก่ สิ่งแวดล้อมกายภาพ สิ่งแวดล้อมทางชีวภาพ การใช้ประโยชน์ของมนุษย์และคุณภาพชีวิต
นอกจากนี้ ผศ.สัญชัย อธิบายปัญหาที่สำคัญของอีไอเอว่านอกจากความเข้าใจ การให้ความสำคัญ ข้อมูลเชิงป้องกันแล้ว ที่สำคัญคือ ปัญหาการทำอีไอเอซึ่งกำหนดให้จัดทำเป็นรายโครงการ แม้จะมีความสัมพันธ์คาบเกี่ยวในพื้นที่เดียวกันก็ต้องทำอีไอเอคนละฉบับ ทำให้ไม่มีการมองภาพรวมก่อน จึงจำเป็นต้องมีผังเมืองมาช่วยตรงส่วนนี้ด้วย
"บีทีเอสส่วนขยายอีก 4.5 กิโลเมตรในอนาคต จะเป็นต้นแบบการจัดทำอีไอเอให้กับรัฐบาลที่มีแผนจะสร้างรถไฟฟ้าเพิ่มอีก 7 เส้นทาง การทำอีไอเอในครั้งนี้จึงเป็นตัวชี้วัดว่า อปท.ก้าวล้ำกว่ารัฐบาลเสียอีก นอกจากนี้อีไอเอยังมีการประเมินถึงทางเลือกว่า ที่ตั้งโครงการที่ใดดีกว่าและควรมีข้อเสนอ ซึ่งควรมีให้เลือกมากกว่า 1 เส้นทาง ทั้งนี้ อีไอเอเป็นการสร้างทางเลือกให้มีผลกระทบน้อยที่สุด" นักวิชาการ ม.มหิดล กล่าว
ขณะเดียวกัน นาย
"ติดเงื่อนไขที่มติ ครม.โดยระบุให้เอกชนลงทุน 100% ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีแต่ไม่มีใครทำเพราะขาดทุน เนื่องจากกำหนดระยะเวลาสัมปทานเพียง 30 ปี ซึ่งถือเป็นเวลาที่สั้นเกินไป ขณะที่ต้องใช้เงินลงทุนเยอะมาก ถ้าจะแก้ไขต้องขอให้มติ ครม.ขยายระยะเวลาเพิ่มขึ้น" นายธนา กล่าวทิ้งท้าย
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)