ภาพจาก AFP

ประชาไท - 21 พ.ย.2549 ภายหลังจากเสร็จสิ้นการประชุมกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก (APEC) ณ ประเทศเวียดนาม ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จอร์จ ดับเบิลยู บุช เดินทางไปเยือนประเทศอินโดนีเซีย เพื่อกระชับความสัมพันธ์กับประเทศมุสลิม

อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เจอการต้อนรับอันดับแรกคือกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงนับพันคน รวมถึงนักเคลื่อนไหวชาวมุสลิมและนักศึกษา โดยกลุ่มผู้ประทัวงรวมตัวอยู่ใกล้ทำเนียบฤดูร้อน ชูโปสเตอร์โจมตีบุชและคณะทำงานของเขาว่าเป็น 'ผู้ก่อการร้ายตัวจริง'

ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช เดินทางเยือนอินโดนีเซีย หวังกระชับความสัมพันธ์กับประเทศมุสลิมที่ได้ชื่อว่าเป็นพันธมิตรร่วมทำสงครามต้านก่อการร้าย แต่ต้องเจอผู้คนหลายพันประท้วงสาปแช่งและขับไล่ จนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยต้องทำงานกันอย่างเข้มงวดเพราเกรงจะมีมือระเบิดพลีชีพมาก่อเหตุ

สำนักข่าวเอเอฟพีระบุว่า การเดินทางของบุชในครั้งนี้ ทำให้ "โบกอร์" ซึ่งเป็นเมืองตากอากาศอันเงียบสงบ กลายเป็นเขตสงครามขึ้นมาทันที มีทั้งทหารถืออาวุธเฝ้าระวังและลาดตระเวนตามท้องถนน ขณะเดียวกันก็มีการวางรั้วลวดหนามกั้นถนนที่มุ่งไปยังทำเนียบฤดูร้อน

ทั้งนี้ ผู้นำสหรัฐฯได้พูดคุยหารือกับประธานาธิบดีสุสิโล บัมบัง ยุทโธโยโน แห่งอินโดนีเซีย ที่ทำเนียบฤดูร้อนในเมืองโบกอร์ และเข้าพบปะกับผู้นำท้องถิ่นหลายคน โดยเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวแถลงว่าบุชหวังที่จะขยายความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ และอินโดนีเซีย ให้มีขอบเขตที่ครอบคลุมยิ่งกว่าการปฏิบัติการร่วมต่อต้านการก่อการร้าย นับตั้งแต่เกิดเหตุวินาศกรรม เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 เป็นต้นมา

บุชเน้นย้ำว่า สงครามต้านก่อการร้าย ไม่ใช่สงครามต่อต้านชาวมุสลิมหรือศาสนาอิสลาม อีกทั้งพยายามจะปรับปรุงภารกิจของสหรัฐฯ ที่เคยช่วยฟื้นฟูบูรณะจังหวัดอาเจะห์ หลังถูก คลื่นยักษ์สึนามิเข้าถล่มเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ทว่า ความพยายามด้านการทูตของบุชดูจะไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เมื่อประชาชนราว 2 พันคนปักหลักประท้วงตลอดการเยือนของบุช และนักศึกษาราว 50 คน พยายามฝ่าวงล้อมของตำรวจที่ยืนอยู่บริเวณเครื่องกั้นถนน และเข้าต่อสู้กับตำรวจก่อนจะถูกดันออกไปในที่สุด

ทางด้านประธานาธิบดียุทโธโยโน กล่าวว่า ตนเข้าใจความรู้สึกของประชาชนที่ต้องการจะต่อต้านบุช แต่หากมีการประท้วงที่เกินเลย จะทำให้ภาพลักษณ์ของอินโดนีเซียต้องมัวหมองลง