Skip to main content
sharethis

สื่อต่างประเทศรายงาน 'เศรษฐา' พบกับกลุ่มบริษัทของตะวันออกกลางและจีน หารือถึงความเป็นไปได้ที่จะสร้างตึกที่อาจสูงที่สุดเป็นสถิติใหม่ของโลกในประเทศไทย


กลุ่มบริษัทตะวันออกกลาง และจีน​ EMAAR group, Broad group และ Vantone group โดยที่ EMAAR เป็นหนึ่งในกลุ่มบริษัท real estate developer ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่สร้างตึก Burj Khalifa ตึกที่สูงที่สุดในโลก เข้าพบนายกรัฐมนตรี ณ ห้องรับรอง ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 เมื่อวันที่ 19 เม.ย. 2567 | ที่มาภาพ: เว็บไซต์รัฐบาลไทย 

20 เม.ย. 2567 VOA รายงานว่านายกรัฐมนตรีของไทย เศรษฐา ทวีสิน พบกับกลุ่มบริษัทของตะวันออกกลางและจีน ซึ่งรวมถึง อีมาร์ กรุ๊ป (Emaar Group), บรอด กรุ๊ป (Broad Group) และวาโทน กรุ๊ป (Vatone Group) และหารือกันถึงแผนที่จะ "สร้างตึกที่สูงที่สุดในโลกในไทย" โดยผู้นำไทยได้พูดถึงเรื่องนี้บนเเพลตฟอร์ม X

VOA  อ้างบลูมเบิร์กรายงานว่าตึกที่อาจได้รับการพัฒนาขึ้นจะมีวัตถุประสงค์การใช้หลายรูปแบบ เช่นโรงเเรม ศูนย์การเงินการธนาคาร ห้างสรรพสินค้า และเเหล่งความบันเทิง

อีมาร์ กรุ๊ป เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางจากโครงการ 'เบิร์จ คาลิฟา' ซึ่งเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลก ที่นครดูไบ

โมฮาเหม็ด อะลับบาร์ ผู้ก่อตั้งอีมาร์กรุ๊ป กล่าวว่าโครงการนี้จะถูกพัฒนาขึ้นโดยกลุ่มนักลงทุน แทนที่จะเป็นบริษัทมหาชน โดยผู้ลงทุนจะรวมถึงเขาเองเป็นการส่วนตัว

เขากล่าวว่า การหารือเรื่องตึก "ที่สูงมาก ๆ" ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น

นายกรัฐมนตรีไทยกล่าวในข้อความบนเเพลตฟอร์ม X ว่าโครงการนี้ "จะสร้างมูลค่าการลงทุน และดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างมาก จาก "แหล่งท่องเที่ยวใหม่แบบ man-made" โดยทางกลุ่มบริษัทฯ​ จะศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุน เพื่อเสนอแผนอย่างเป็นรูปธรรมต่อไปครับ"

โฆษกรัฐบาลไทย ชัย วัชรงค์ กล่าวว่า กลุ่มนักลทุนนี้สนใจที่จะร่วมมือกันใน 'เมกะโปรเจค' นี้ในกรุงเทพฯ โดยเขาบอกกับบลูมเบิร์กว่า นายกฯ เศรษฐาเสนอว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่โครงการนี้สูงกว่าตึกที่ดูไบ ซึ่งผู้ร่วมหารือเหล่านี้ก็ไม่ได้ปฏิเสธ

ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งผู้นำประเทศในเดือนกันยายน เศรษฐา ทวีสิน เดินหน้าชักชวนบริษัทต่างชาติและนักลงทุนนอกประเทศให้มาลงทุนโดยตรงในประเทศไทย ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจอันดับสองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่มีการเติบโตช้ากว่าประเทศร่วมภูมิภาคหลายประเทศ

เท่าที่ผ่านมานายกฯ เศรษฐา พบกับผู้บริหารระดับสูงสุดของบริษัทกว่า 60 แห่ง เพื่อชวนให้พวกเขาลงทุนมายังภาคเศรษฐกิจที่มีมูลค่าสูง ในความพยายามกระตุ้นการเติบโตของจีดีพีไทย ที่เฉลี่ยอยู่ที่ไม่ถึง 2% ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ตามรายงานของบลูมเบิร์ก

ผู้นำไทยกล่าวว่า โครงการตึกระฟ้านี้อาจสร้างจุดดึงดูดนักท่องเที่ยว ซึ่งอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทำรายได้ให้ไทย คิดเป็น 12% ของขนาดเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ ยอดนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังประเทศไทยเติบโตกว่า 40% ปีนี้มาอยู่ที่ประมาณ 11 ล้านคน ส่วนหนึ่งได้เเรงหนุนการโครงการยกเว้นวีซ่าและการผ่อนกฎการเดินทางมาเที่ยวไทย

ในปีนี้ ประเทศไทยตั้งเป้าที่จะรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ 35 ล้าน - 40 ล้านคน ซึ่งใกล้เคียงกับยอดสูงสุดเดิมที่ 40 ล้านปี 2019 ก่อนการระบาดของโควิด-19

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net