Skip to main content
sharethis

ประธานาธิบดีเวียดนามลาออกติดต่อกันเร็วมากเป็นประวัติการณ์ แค่ 2 ปีลาออกไป 2 คน นักวิเคราะห์ประเมินว่าพวกเขาถูกเซ่นให้กับโครงการปราบปรามการทุจริตของรัฐบาลเวียดนามจนส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเมือง และมีการวิเคราะห์กันว่าเกิดจากการช่วงชิงอำนาจภายใน

2 เม.ย. 2567 เมื่อเดือน มี.ค. ที่ผ่านมาประธานาธิบดี Vo Van Thuong ของเวียดนามลาออกจากตำแหน่ง ทำให้รองประธานาธิบดี Vo Thi Anh Xuan ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นรักษาการประธานาธิบดีของเวียดนาม

Vo Van Thuong ดำรงตำแหน่งอยู่ได้เพียงหนึ่งปีกว่าเท่านั้นหลังขึ้นมารับตำแหน่งแทน Nguyen Xuan Phuc ที่เพิ่งลาออกไปเมื่อเดือนมกราคมปีที่แล้ว ในตอนนั้น Anh Xuan ก็เข้ามาอยู่ในตำแหน่งรักษาการประธานาธิบดีต่อเช่นกัน ก่อนเปลี่ยนผ่านเป็น Van Thuong

เรื่องนี้ชวนให้ตั้งคำถามเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเมืองของเวียดนามในช่วงที่พรรคคอมมิวนิสต์ของเวียดนามมีโครงการปราบปรามการทุจริต ในขณะที่เศรษฐกิจของเวียดนามกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วและเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อห่วงโซ่อุปทานของโลก

นิตยสารไทม์ระบุว่า เศรษฐกิจของเวียดนามต้องพึ่งพาการส่งออกและการลงทุนจากต่างชาติอย่างมาก แต่เหล่าผู้นำของประเทศเวียดนามก็พยายามยึดกุมอำนาจในพรรคและปราบปรามผู้ต่อต้าน รวมถึงการปราบปรามการทุจริต มีนักวิเคราะห์มองว่าการลาออกของผู้นำเวียดนามด้วยข้ออ้างเรื่องการปราบปรามการทุจริตนั้นเกิดจากความบาดหมางกันภายในพรรครัฐบาลด้วย

ไทม์ระบุว่าตำแหน่งประธานาธิบดีในเวียดนามนั้นไม่ได้เป็นตำแหน่งที่มีอำนาจอย่างแท้จริง แต่เป็นตำแหน่งในเชิงพิธีการเสียมากกว่า ตำแหน่งที่มีอำนาจสูงสุดจริงๆ คือตำแหน่งเลขาธิการใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามที่ตอนนี้ Nguyen Phu Trong ดำรงตำแหน่งอยู่

การที่ Anh Xuan ได้รับตำแหน่งรักษาการประธานาธิบดีจนกว่าจะถึงการประชุมสมัชชาแห่งชาติเพื่อคัดเลือกประธานาธิบดีคนใหม่นั้น ถือเป็นปรากฏการณ์ที่หายากในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ผู้หญิงจะได้ขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งสูงๆ ทางการเมือง

ในคำประกาศลาออกของ Thuong นั้น สื่อรัฐบาลเวียดนามระบุว่า การฝ่าฝืนกฎของเขา "สร้างความด่างพร้อยให้กับชื่อเสียงของพรรคคอมมิวนิสต์" การลาออกของ Thoung เกิดขึ้นหลายวันหลังจากที่อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดกว๋างหงาย ในภาคกลางของเวียดนามถูกจับกุมข้อหาต้องสงสัยทุจริต โดยที่ Thuong เคยเป็นผู้นำพรรคในระดับท้องถิ่นของจังหวัดนี้มาก่อน

Thuong อยู่ใต้อุปถัมภ์ของ Trong ผู้ที่เป็นหัวหน้าพรรคมาตั้งแต่ปี 2554 และอายุได้ 79 ปีแล้ว ซึ่งยังไม่ชัดเจนว่าการลาออกในครั้งนี้จะเปลี่ยนแปลงอนาคตการนำของเวียดนามอย่างไรบ้าง

ทำไมผู้นำระดับสูงเวียดนามลาออก 2 รายติดต่อกัน

ศูนย์เอเชียมีเดียตั้งข้อสังเกตว่า พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามไม่ได้เผยแพร่รายละเอียดอะไรเป็นพิเศษเกี่ยวกับการลาออกหรือ "การฝ่าฝืนกฎ" ของ Thuong มีแค่สื่อต่างประเทศที่นำเสนอเรื่องข้อกล่าวหาฉ้อโกงและรับสินบนที่เกิดขึ้นมามากกว่า 10 ปีแล้วและเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดกว๋างหงาย

ในกรณีของ Nguyen Xuan Phuc ผู้ที่ลาออกในปี 2566 ด้วยสภาพการณ์ที่คล้ายคลึงกันนั้น เขาได้ลาออกหลังจากที่พรรครัฐบาลพบว่าเขามีส่วนรับผิดชอบกับการฝ่าฝืนกฎและการกระทำผิดของเจ้าหน้าที่รัฐหลายคนที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเขา

สถาบันนานาชาติเพื่อการวิจัยยุทธศาสตร์ (IISS) ระบุว่า ในกรณีของ Phuc มาจากเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการโก่งราคาชุดตรวจ COVID-19 และโก่งราคากับคนสัญชาติเวียดนามที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศและต้องการเดินทางกลับบ้านในช่วงการระบาดของ COVID-19

สำหรับกรณีของ Thuong นั้น ผู้สังเกตการณ์การเมืองเวียดนามบอกว่ามาจากเรื่องการรับสินบนของเจ้าหน้าที่รัฐหรือญาติพี่น้องของพวกเขา แต่ก็มีคำถามที่ชวนให้คิดมากกว่านี้ว่า ทำไมเรื่องอื้อฉาวเหล่านี้ถึงทำให้คนในระดับสูงถูกเด้งออกแต่คนอื่นๆ อีกจำนวนมากกลับไม่ถูกตรวจสอบ

นักวิเคราะห์ระบุว่าการลาออกของผู้นำเวียดนามในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานี้เป็นการลาออกในระดับที่ผิดปกติสำหรับประวัติศาสตร์เวียดนาม Nguyen Khac Giang นักวิจัยอาคันตุกะจากสถาบันเอเชียอาคเนย์ศึกษายูซุฟ อิสซัก กล่าวว่าการลาออกถี่เช่นนี้ "ไม่ใช่สัญญาณที่ดีสำหรับประเทศที่อวดอ้างตัวเองเรื่องเสถียรภาพทางการเมือง"

Trong เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามผู้ที่ดำรงตำแหน่งที่มีอำนาจที่สุดในระบอบการเมืองเวียดนามตอนนี้ยกระดับปฏิบัติการของโครงต่อต้านปราบปรามการทุจริตที่มีชื่อเรียกว่า "เตาไฟที่ลุกโชน" (Blazing Furnace)

ในเวียดนามนั้น เป็นประเทศแบบพรรคการเมืองเดี่ยว ที่ปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์แห่งเวียดนาม (CPV) ตำแหน่งของกลุ่มคนที่มีอำนาจสูงสุดภายใต้โครงสร้างนี้ถูกเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า "เสาหลักสี่เสา" คือ เลขาธิการใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม, ประธานาธิบดี, นายกรัฐมนตรีแห่งเวียดนาม และประธานสมัชชาแห่งชาติเวียดนาม

ตำแหน่งเลขาธิการใหญ่ของ CPV และคณะกรรมการกรมการเมืองของพรรคหรือ "โปลิตบูโร" ถือเป็นตำแหน่งที่มีอำนาจมากที่สุดในระบอบการเมืองเวียดนาม ในขณะที่ประธานาธิบดี ที่เป็นประมุขแห่งรัฐผู้ที่มีความสำคัญต่อเรื่องความสัมพันธ์กับภายนอก มักจะเป็นตำแหน่งแค่ในเชิงพิธีการสำหรับการเมืองเวียดนาม ส่วนตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่เป็นหัวหน้ารัฐบาลและประธานสมัชชาแห่งชาตินั้น ต่างก็นับเป็นตำแหน่งสูงสุดขององค์การเมืองเวียดนาม

ผลกระทบที่ตามมาคืออะไร

ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจของเวียดนามเริ่มบูมหลังจากที่มีการลงทุนจากต่างชาติหลั่งไหลเข้าประเทศ และเวียดนามก็กลายเป็นทางเลือกที่น่าเข้าหามากกว่าจีน ในช่วงที่ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ กำลังถดถอย

มีการลงทุนจากต่างชาติหลั่งไหลเข้าไปในเวียดนาม โดยเฉพาะในด้านสินค้าเทคโนโลยีอย่างสมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์ ทำให้เกิดการคาดการณ์ว่าเวียดนามอาจจะกลายเป็น "เสือเอเชีย" รายใหม่ในทางเศรษฐกิจ ภาคส่วนการผลิตของเวียดนามครึ่งหนึ่งมีบรรษัทต่างชาติรวมอยู่ด้วยทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นสูง

นักวิเคราะห์มองว่าโครงการปราบปรามการทุจริตให้ผลตอบแทนบางส่วนจากการปราบปรามเงินส่วยที่ผิดกฎหมายสำหรับคนทำธุรกิจในประเทศ แต่มันก็ทำให้เกิดเรื่องอื้อฉาวตามมาจำนวนมาก และทำให้เกิดความไม่แน่นอนทางการเมือง ในปี 2566 ที่ผ่านมาปีเดียวกับที่มีการลาออกของประธานาธิบดีคนก่อนหน้านี้เศรษฐกิจเติบโตลดลงจากร้อยละ 8 ในปี 2565 เป็นร้อยละ 5.1 ในปี 2566

นอกจากนี้นิตยสารไทม์ยังตั้งข้อสังเกตว่าเหล่าผู้นำเวียดนามทำการเน้นปราบปรามผู้ต่อต้านในประเทศมากขึ้นด้วย โดยมีการคุมขังผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานสะอาดรวมถึงนักกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมในขณะเดียวกันโครงการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นก็มีการเอาผิดนักธุรกิจและเจ้าหน้าที่หลายพันราย มีเศรษฐีด้านอสังหาริมทรัพย์ Truong My Lan ที่อาจจะเผชิญโทษประหารชีวิตจากข้อหายักยอกทรัพย์ 12,500 ล้านดอลลาร์ นับเป็นคดีฉ้อโกงทางการเงินที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนามเท่าที่เคยมีมา

การประชุมพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามครั้งถัดไปจะมีขึ้นในช่วงต้นปี 2569 ผู้เชี่ยวชาญมองว่าจนกว่าจะถึงตอนนั้นเวียดนามก็คงต้องเผชิญกับความวุ่นวายทางการเมืองต่อไปจากการที่มีกลุ่มคู่แข่งต่างๆ พยายามแย่งชิงอำนาจเพื่อเป็นคนที่จะมาแทนที่ Trong ในตำแหน่งหัวหน้าพรรค ในขณะเดียวกันเหล่าข้าราชการในเวียดนามก็มีความระมัดระวังตัวมากขึ้นเพราะกระแสการปราบปรามการทุจริต

Le Hong Hiep นักวิจัยอาวุโสและผู้ประสานงานโครงการเวียดนามศึกษาที่สถาบันเอเชียอาคเนย์ศึกษายูซุฟ อิสซัก กล่าวว่า "ถึงแม้จะมีการคัดเลือกประธานาธิบดีใหม่แล้ว แต่ก็จะยังคงมีการต่อสู้ขัดแย้งภายในเกิดขึ้นต่อไปจนกว่าจะถึงปี 2569 เว้นแต่ว่า Trong จะประกาศตัวแผนการเกี่ยวกับผู้สืบทอดอย่างชัดเจน"

"ในช่วงระหว่างนั้น เหล่านักลงทุนและคู่ค้าของเวียดนามก็จะต้องอยู่กับสภาพความเป็นจริงแบบใหม่ของการเมืองเวียดนามไปก่อน" Le Hong Hiep กล่าว

 

เรียบเรียงจาก

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net