คำถามในความหมายที่ว่า “ต้องการเอกราชจริงหรือไม่” ไม่ใช่เรื่องใหม่ในทางวิชาการในการวัดสัดส่วนของคนที่ “ต้องการ” หรือ “ไม่ต้องการ” เพราะถูกนำมาใช้โดย “เครือข่ายวิชาการ PEACE SURVEY” เป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 59 แล้ว แต่หากรัฐมีกระบวนการ “ประชามติว่าเห็นด้วยกับการแยกจังหวัดชายแดนภาคใต้หรือปาตานีเป็นเอกราช” ขึ้นมาจริงๆ อย่างถูกต้องตามกฎหมายตามที่นักศึกษากลุ่มหนึ่งเรียกร้อง ตัวเลขอาจสะท้อนความเป็นจริงมากขึ้นก็ได้
เครือข่ายวิชาการ Peace Survey เป็นความร่วมมือระหว่างสถาบันวิชาการและองค์กรภาคประชาชนทั้งในและนอกพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้หลายองค์กร ปัจจุบันมี 24 องค์กร ทำการสำรวจความคิดเห็นประชาชนต่อกระบวนการสันติภาพจังหวัดชายแดนภาคใต้ (PEACE SURVEY) เพื่อสะท้อนเสียงของประชาชนที่ใกล้เคียงความเป็นจริงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยปราศจากอคติหรือเอียงข้างฝ่ายใดเพื่อเป็นข้อมูลสำคัญประกอบการแก้ไขปัญหาต่อไปในระยะยาว
ในการสำรวจนี้ทำให้ทราบสัดส่วนของ “คนที่ต้องการเอกราช” หากคิดว่าเป็นแนวทางที่จะยุติปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ได้ แต่ผลที่ได้อาจยังไม่สะท้อนสัดส่วนที่แท้จริงเพราะมีคนเลี่ยงที่จะตอบคำถามนี้ โดย“ขอไม่ตอบ”หรือ “ไม่รู้” มากพอสมควร
การสำรวจครั้งแรกเมื่อมีขึ้นเดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม 2559 ครั้งล่าสุดคือครั้งที่ 6 เดือนเมษายน - กรกฎาคม 2564 โดยใช้กระบวนการทางวิชาการที่น่าเชื่อถือไปสอบถามความคิดเห็นของประชาชนในจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา (จะนะ เทพา นาทวีและสะบ้าย้อย)
โดยแบ่งเป็นกลุ่มประชาชนทั่วไปและกลุ่มผู้นำทางความคิด (ยกเว้นครั้งที่ 6 ที่ใช้แบบสอบถามและการสัมภาษณ์เชิงลึก) โดยกลุ่มตัวอย่างที่เป็นคนทั่วไปอยู่ที่ครั้งละประมาณ 1,500 คน (ต่ำสุด 1,311 คน สูงสุด 1,637 คน) มีทั้งไทยพุทธ ไทยจีน และมลายูมุสลิม
(อ่านผลสำรวจ PEACE SURVEY ทั้ง 6 ครั้งได้ที่ https://cscd.psu.ac.th/th)
แต่ภาษาที่ใช้ในคำถามของ PEACE SURVEY นี้ คือ “หากต้องการจะให้ปัญหาความไม่สงบยุติลง ทางออกคือต้องให้พื้นที่นี้เป็นรัฐอิสระแยกออกจากประเทศไทยหรือไม่” ซึ่งเป็น 1 ในชุดคำถามที่เกี่ยวข้องกับการบริหารการปกครองในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มี 3 คำถามหลัก ซึ่งเป็นประเด็นคำถามที่มักจะเป็นที่ถกเถียงเสมอมาในพื้นที่แห่งนี้
ทั้ง 3 คำถาม คือ
- หากต้องการจะให้ปัญหาความไม่สงบยุติลง ทางออกคือต้องให้พื้นที่นี้เป็นรัฐอิสระแยกออกจากประเทศไทยหรือไม่
- จำเป็นหรือไม่ที่จะต้องมีการพูดคุยกันเรื่องรูปแบบการปกครองที่เหมาะสมกับพื้นที่นี้
- รูปแบบการบริหารปกครองที่อยากเห็นที่สุด เป็นแบบไหน
ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี ผู้ช่วยศาสตราจารย์และอาจารย์ประจำสถาบันสันติศึกษาและผู้อำนวยการศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ (Deep South Watch) หนึ่งในนักวิจัยในเครือข่ายวิชาการ PEACE SURVEY ระบุว่า เครือข่ายวิชาการ PEACE SURVEY ใช้คำถามที่เป็นทางเลือกว่าอยากได้การปกครองพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้แบบไหน ไม่ได้ถามตรงๆ ว่าเป็น “รัฐเอกราช” แต่ใช้คำว่าการปกครองที่แยกเป็นอิสระจากประเทศไทย ซึ่งข้อนี้มีคนเลือกตอบโดยรวมประมาณ 10% แต่ส่วนใหญ่ประมาณ 60% ตอบว่าเห็นด้วยกับรูปแบบการกระจายอำนาจแบบพิเศษ
ในขณะที่คนที่เลือก “ขอไม่ตอบ” “ไม่รู้” หรือ “ไม่ระบุ” มีรวมกันประมาณ 1 ใน 3 ของจำนวนผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด (กลุ่มตัวอย่างรวมกันทั้งหมด 9,272 คน ถ้า 1 ใน 3 ก็จะอยู่ประมาณ 3,000 กว่าคน) ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า คำถามดังกล่าวเป็นประเด็นที่ค่อนข้างอ่อนไหวและผู้ตอบมีความระมัดระวังตัวในการแสดงความคิดเห็น
หากพิจารณาผลสำรวจอย่างละเอียดในแต่ละครั้งก็จะพบว่า มีสัดส่วนที่ไม่แตกจากที่ ศรีสมภพ ระบุไว้ สรุปได้ดังนี้
ครั้งที่ 1 กุมภาพันธ์ – มีนาคม 2559
ผลการสำรวจความคิดเห็นประชาชนต่อกระบวนการสันติภาพจังหวัดชายแดนภาคใต้ [PEACE SURVEY] ครั้งที่ 1 (กุมภาพันธ์ – มีนาคม 2559) กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,560 คน (หน้า 53)
คำถามว่า หากต้องการจะให้ปัญหาความขัดแย้งรุนแรงยุติลง พื้นที่แห่งนี้จะต้องเป็นรัฐอิสระแยกออกจากประเทศไทยหรือจะยังคงเป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทยหรือไม่ มีผู้ให้คำตอบ ตามลำดับดังนี้
- ร้อยละ 48.3 มองว่า ปัญหาจะยุติลงได้โดยพื้นที่นี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทย หากรัฐบาลทำตามความต้องการของประชาชนในพื้นที่จริงๆ
- ร้อยละ 8.6 มองว่า พื้นที่นี้ต้องเป็นรัฐอิสระแยกออกจากประเทศไทยเท่านั้น ปัญหาความขัดแย้งรุนแรงจึงจะยุติลงได้
- คำถามนี้ มีผู้ที่ “ขอไม่ตอบ” และ”ไม่รู้” รวมกันคิดเป็นร้อยละ 43.1
คำถามว่า จำเป็นของการคุยกันถึงรูปแบบการปกครองที่เหมาะสมกับพื้นที่หรือไม่ มีสัดส่วนผู้ให้คำตอบ ตามลำดับดังนี้
- ร้อยละ 61.7 เห็นว่า จำเป็นต้องคุยกัน
- ร้อยละ 7.5 เห็นว่า ไม่จำเป็น
- คำถามนี้ผู้ที่ตอบว่า “เฉยๆ” “ไม่รู้” และ “ขอไม่ตอบ”ร้อยละ 30.7
คำถามว่า แนวทางการปกครองพื้นที่ที่อยากเห็นมากที่สุด มีสัดส่วนผู้ให้คำตอบตามลำดับ ดังนี้
- ร้อยละ 26.5 เลือกรูปแบบกระจายอำนาจมากขึ้นด้วยโครงสร้างการปกครองที่มีลักษณะเฉพาะของพื้นที่แต่ยังอยู่ภายใต้กฎหมายของไทย
- ร้อยละ 22.2 เลือกรูปแบบกระจายอำนาจมากขึ้นด้วยโครงสร้างการปกครองที่เหมือนกับส่วนอื่นๆ ของประเทศ
- ร้อยละ 15.6 เลือกรูปแบบที่เป็นอยู่ปัจจุบันโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
- ร้อยละ 14.2 เลือกรูปแบบที่เป็นอิสระจากประเทศไทย
- คำถามนี้มีผู้เลือก “ขอไม่ตอบ” และ “ไม่รู้” ไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ในแต่ละรูปแบบ
จะเห็นได้ว่า ผู้ตอบแบบสอบถามที่ต้องการรัฐอิสระมีสัดส่วนน้อยกว่าผู้ตอบแบบสอบถามที่ต้องการเห็นการกระจายอำนาจมากขึ้น ซึ่งอาจตีความได้ว่า หากมีการกระจายอำนาจให้ประชาชนในพื้นที่มีอำนาจในการบริหารจัดการปกครองตัวเองมากขึ้นก็อาจจะเป็นหนทางหนึ่งในการแก้ไขปัญหาได้
ผลสำรวจให้สังเกตด้วยว่า ร้อยละ 40 และร้อยละ 33 ของผู้ตอบแบบสอบถามที่เรียกสถานการณ์ในพื้นที่นี้ว่าเป็น “สงคราม” และ “ญิฮาด” เลือกรูปแบบที่เป็นอิสระจากประเทศไทย
ส่วนร้อยละ 44 ของผู้ตอบแบบสอบถามที่เรียกสถานการณ์ในพื้นที่นี้ว่า“การก่อเหตุรุนแรง” นั้น ไม่ชอบหรือรับไม่ได้เลยกับรูปแบบที่เป็นอิสระจากประเทศไทย
ครั้งที่ 2 กรกฎาคม - สิงหาคม 2559
ผลการสำรวจความคิดเห็นประชาชนต่อกระบวนการสันติภาพจังหวัดชายแดนภาคใต้ [PEACE SURVEY] ครั้งที่ 2 กรกฎาคม - สิงหาคม 2559 กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,570 คน (หน้า 73)
คำถามว่า หากต้องการจะให้ปัญหาความไม่สงบยุติลง ทางออกคือต้องให้พื้นที่นี้เป็นรัฐอิสระแยก
ออกจากประเทศไทยหรือไม่ มีสัดส่วนผู้ให้คำตอบตามลำดับ ดังนี้
- ร้อยละ 45.8 เห็นว่า ไม่จำเป็นต้องเป็นรัฐอิสระ หากรัฐบาลทำตามความต้องการของประชาชนในพื้นที่จริงๆ
- ร้อยละ 8.3 ตอบอย่างชัดเจนว่าต้องเป็นรัฐอิสระ (เอกราช) เท่านั้น
- มีผู้ที่ตอบว่า “ไม่รู้” และ “ขอไม่ตอบ” ร้อยละ 45.9
คำถามว่า จำเป็นหรือไม่ที่จะต้องพูดคุยกันถึงรูปแบบการบริหารปกครองที่เหมาะสมกับพื้นที่
- ร้อยละ 58.1 ตอบว่า จำเป็น
- ร้อยละ 5.8 มองว่า ไม่จำเป็น
- ร้อยละ 13.4 ตอบว่า รู้สึกเฉยๆ
- มีผู้ตอบว่า “ไม่รู้” และ “ขอไม่ตอบ” ร้อยละ 22.7
คำถามว่า รูปแบบการบริหารปกครองที่อยากเห็นที่สุด คือ
- ร้อยละ 32.4 เลือกรูปแบบการกระจายอำนาจมากขึ้นด้วยโครงสร้างการปกครองที่มีลักษณะเฉพาะของพื้นที่นี้ภายใต้กฎหมายของประเทศไทย
- ร้อยละ 28.1 ต้องการให้มีการกระจายอำนาจมากขึ้น ด้วยโครงสร้างการปกครองที่เหมือนส่วนอื่นๆ ของประเทศ
- ร้อยละ 15.3 รูปแบบที่เป็นอยู่ปัจจุบันโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
- ร้อยละ 12.7 เท่านั้นที่เลือกรูปแบบที่เป็นอิสระจากประเทศไทย
- ทั้งนี้มีผู้ที่เลือก “ขอไม่ตอบ” และ “ไม่รู้” ไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ในแต่ละรูปแบบ
จะเห็นได้ว่า ผู้ที่ต้องการรัฐอิสระมีสัดส่วนน้อยกว่าผู้ที่ต้องการเห็นการกระจายอำนาจมากขึ้น และ อาจตีความในแง่หนึ่งได้ว่า หากมีการกระจายอำนาจให้ประชาชนในพื้นที่มีอำนาจในการบริหารจัดการปกครองตัวเองมากขึ้นก็อาจจะเป็นหนทางหนึ่งในการแก้ไขปัญหาได้
ครั้งที่ 3 เมษายน-พฤษภาคม 2560
ผลการสำรวจความคิดเห็นประชาชนต่อกระบวนการสันติภาพจังหวัดชายแดนภาคใต้ [PEACE SURVEY] ครั้งที่ 3 เมษายน-พฤษภาคม 2560 กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,608 คน (หน้า 47)
คำถาม หากต้องการจะให้ปัญหาความไม่สงบยุติลง ทางออกคือต้องให้พื้นที่นี้เป็นรัฐอิสระแยกออก
จากประเทศไทยหรือไม่ มีผู้ให้คำตอบ ตามลำดับดังนี้
- ร้อยละ 49.5 เห็นว่า ไม่จำเป็นต้องเป็นรัฐอิสระแยกออกจากประเทศไทย หากรัฐบาลทำตามความต้องการของประชาชนในพื้นที่จริงๆ
- ร้อยละ 10.9 ตอบอย่างชัดเจนว่าต้องเป็นรัฐอิสระ (เอกราช) เท่านั้น
- มีผู้ที่ตอบว่า “ไม่รู้” และ “ขอไม่ตอบ” รวมกันแล้วสูงถึงร้อยละ 39.6
คำถามว่า รูปแบบการบริหารปกครองที่อยากเห็นที่สุด มีผู้ให้คำตอบตามลำดับดังนี้
- ร้อยละ 25.2 ต้องการให้กระจายอำนาจมากขึ้นด้วยโครงสร้างการปกครองที่มีลักษณะเฉพาะของพื้นที่นี้ภายใต้กฎหมายของประเทศไทย
- ร้อยละ 21.2 กระจายอำนาจด้วยโครงสร้างการปกครองที่เหมือนกับส่วนอื่นๆ ของประเทศ
- ร้อยละ 14.1 รูปแบบที่เป็นอยู่ปัจจุบันโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
- ร้อยละ 12.1 รูปแบบที่เป็นอิสระจากประเทศไทย
- ผู้ที่ “ขอไม่ตอบ” และ “ไม่รู้” ไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ในแต่ละข้อ
จากผลการสำรวจข้อนี้ชี้ว่า ผู้ตอบแบบสอบถามที่ต้องการรัฐอิสระมีสัดส่วนน้อยกว่าผู้ตอบแบบสอบถามที่ต้องการเห็นการกระจายอำนาจมากขึ้น ซึ่งอาจตีความในแง่หนึ่งได้ว่าหากมีการกระจายอำนาจให้ประชาชนในพื้นที่มีอำนาจในการบริหารจัดการปกครองตัวเองมากขึ้น ก็อาจจะเป็นหนทางหนึ่งในการแก้ไขปัญหาได้
ครั้งที่ 4 สิงหาคม - กันยายน 2561
ผลการสำรวจความคิดเห็นประชาชนต่อกระบวนการสันติภาพจังหวัดชายแดนภาคใต้ [PEACE SURVEY] ครั้งที่ 4 สิงหาคม–กันยายน 2561 กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,609 คน (หน้า 54)
คำถามว่า หากต้องการจะให้ปัญหาความไม่สงบยุติลง ทางออกคือต้องให้พื้นที่นี้มีรูปแบบการบริหารปกครองแบบใด มีผู้ให้คำตอบตามลำดับ ดังนี้
- ร้อยละ 48.4 (778 คน) เห็นว่า ไม่จำเป็นต้องเป็นรัฐอิสระแยกออกจากประเทศไทย หากรัฐบาลทำตามความต้องการของประชาชนในพื้นที่จริงๆ
- ร้อยละ 6.8 (109 คน) ตอบอย่างชัดเจนว่า ต้องเป็นรัฐอิสระ (เอกราช) เท่านั้น
- มีผู้ที่ตอบว่า “ไม่รู้” “ขอไม่ตอบ” และ “ไม่ระบุ” รวมกันแล้วสูงถึงร้อยละ 44.9 (722 คน) ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ใกล้เคียงกับผู้ที่ตอบว่ายังคงเป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทย
คำถามว่า รูปแบบการบริหารปกครองที่อยากเห็นที่สุด มีลำดับดังนี้
- ร้อยละ 23 (370 คน) เลือกรูปแบบที่มีการกระจายอำนาจมากขึ้นด้วยโครงสร้างการปกครองที่เหมือนกับส่วนอื่นๆ ของประเทศ (เลือกตั้งผู้ว่าฯ แต่ละจังหวัด)
- ร้อยละ 19.5 (314 คน) เลือกรูปแบบที่มีการกระจายอำนาจมากขึ้นด้วยโครงสร้างการปกครองที่มีลักษณะเฉพาะของพื้นที่ภายใต้กฎหมายไทย (เลือกตั้งผู้ว่าฯ โดยรวมพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเขตเดียว
- ร้อยละ 18.2 (292 คน) เลือกรูปแบบปัจจุบันโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
- ร้อยละ 13.9 (225 คน) เลือกรูปแบบที่เป็นอิสระจากประเทศไทย
- มีผู้ที่ข้อที่ “ขอไม่ตอบ” และ “ไม่รู้” สูงสุดในรูปแบบที่เป็นอิสระจากประเทศไทย จำนวน 648 คน (ร้อยละ 40.3)
ครั้งที่ 5 กันยายน – ตุลาคม 2562
ผลการสำรวจความคิดเห็นประชาชนต่อกระบวนการสันติภาพจังหวัดชายแดนภาคใต้ [PEACE SURVEY] ครั้งที่ 5 กันยายน – ตุลาคม 2562 กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,637 คน (หน้า 67)
คำถาม หากต้องการให้ปัญหาความไม่สงบยุติลง ต้องให้พื้นที่นี้เป็นรัฐอิสระแยกออกจากประเทศไทยหรือไม่ มีสัดส่วนผู้ให้คำตอบตามลำดับ ดังนี้
- ร้อยละ 53.9 (883 คน) เห็นว่า ปัญหาจะยุติลงได้โดยพื้นที่นี้จะยังคงเป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทย หากรัฐบาลทำตามความต้องการของประชาชนในพื้นที่จริง ๆ
- ร้อยละ 6.7 (109 คน) ตอบว่า พื้นที่นี้ได้เป็นรัฐอิสระ(เอกราช) เท่านั้น
- ผู้ที่ตอบว่า "ไม่รู้" "ขอไม่ตอบ" และ "ไม่ระบุ" มีจำนวน 645 คน (ร้อยละ 39.4) สะท้อนให้เห็นว่าคำถามนี้ยังเป็นประเด็นที่ค่อนข้างอ่อนไหว และผู้ตอบระมัดระวังตัวในการแสดงความคิดเห็น
คำถามถึงความสำคัญและความจำเป็นของการพูดคุยกันเรื่องรูปแบบการปกครองที่เหมาะสมกับพื้นที่
- ผู้ตอบร้อยละ 37.1 (607 คน) เห็นว่า จำเป็นมาก
- ผู้ตอบร้อยละ 23.8 (390 คน) มีความเห็นในระดับปานกลาง
- มีผู้ตอบร้อยละ 18.6 (304 คน) เห็นว่า จำเป็นน้อย
คำถามถึงรูปแบบการบริหารปกครองที่อยากเห็นที่สุด มีผู้ตอบเลือกตอบตามลำดับ ดังนี้
- ร้อยละ 23.3 (382 คน) เลือกรูปแบบกระจายอำนาจมากขึ้นด้วยโครงสร้างการปกครองที่มีลักษณะเฉพาะของพื้นที่นี้ภายใต้กฎหมายไทย (เลือกตั้งผู้ว่าฯ/เขตปกครองพิเศษ)
- ร้อยละ 20.7 (339 คน) เลือกรูปแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบันโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ
- ร้อยละ 17.9 (292 คน) เลือกรูปแบบกระจายอำนาจมากขึ้นด้วยโครงสร้างการปกครองที่เหมือนกับส่วนอื่น ๆ ของประเทศ (เพิ่มอำนาจให้ อบจ. อบต. มากขึ้น)
- ร้อยละ 10.1 (165 คน) เลือกรูปแบบที่เป็นอิสระจากประเทศไทย
- มีผู้เลือก "ไม่รู้" "ขอไม่ตอบ" และ "ไม่ระบุ" สูงสุดในรูปแบบที่เป็นอิสระจากประเทศไทย จำนวน 566 คน (ร้อยละ 34.5) เนื่องจากเป็นประเด็นที่ค่อนข้างอ่อนไหว
ครั้งที่ 6 เมษายน - กรกฎาคม 2564
ผลการสำรวจความคิดเห็นประชาชนต่อกระบวนการสันติภาพจังหวัดชายแดนภาคใต้(PEACE SURVEY)ครั้งที่ 6 เมษายน - กรกฎาคม 2564 กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,311 คน (หน้า 82)
คำถามว่า หากต้องการจะให้ปัญหายุติลง ทางออกคือต้องให้พื้นที่นี้เป็นรัฐอิสระแยกออกจากประเทศไทยหรือไม่ มีสัดส่วนผู้ตอบตามลำดับ ดังนี้
- ร้อยละ 49.7 (652 คน) ตอบว่า ปัญหาจะยุติลงได้โดยพื้นที่นี้จะยังเป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทย หากรัฐบาลทำตามความต้องการของประชาชนในพื้นที่จริงๆ
- ร้อยละ 6.6 (87 คน) ตอบอย่างชัดเจนว่า ปัญหายุติลงได้ต่อเมื่อพื้นที่นี้ได้เป็นรัฐอิสระ (เอกราช) เท่านั้น
- มีผู้ตอบว่า “ไม่รู้” “ขอไม่ตอบ” และ “ไม่ระบุ” รวมกัน จำนวน 574 คน (ร้อยละ 43.7) ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า คำถามนี้ยังเป็นประเด็นที่ค่อนข้างอ่อนไหวและผู้ตอบระมัดระวังตัวในการแสดงความคิดเห็น
คำถามถึงความสำคัญและความจำเป็นของการพูดคุยกันเรื่องรูปแบบการปกครองที่เหมาะสมกับพื้นที่ พบว่า
- ร้อยละ 44.9 (589 คน) เห็นว่า มีความจำเป็นมาก
- ร้อยละ 20.6 (270 คน) มีความเห็นในระดับปานกลาง
- ร้อยละ 14.3 (189 คน) เห็นว่า มีความจำเป็นน้อย
คำถามว่า รูปแบบการบริหารปกครองที่อยากเห็นที่สุด มีคำตอบตามลำดับ ดังนี้
- ร้อยละ 27.3 (358 คน) เลือกรูปแบบกระจายอำนาจมากขึ้นด้วยโครงสร้างการปกครองที่เหมือนกับส่วนอื่นๆของประเทศ (เพิ่มอำนาจให้ อบจ. อบต. มากขึ้น)
- ร้อยละ25.9 (340 คน) เลือกรูปแบบปัจจุบันโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
- ร้อยละ 24.4 (319 คน) เลือกรูปแบบกระจายอำนาจมากขึ้นด้วยโครงสร้างการปกครองที่มีลักษณะเฉพาะของพื้นที่นี้ภายใต้กฎหมายไทย (เลือกตั้งผู้ว่าฯ/เขตปกครองพิเศษ)
- ร้อยละ 13.4 (176 คน) เลือกรูปแบบที่เป็นอิสระจากประเทศไทย (แยกเป็นเอกราช)
- มีผู้ที่ “ขอไม่ตอบ” “ไม่รู้” ในรูปแบบที่เป็นอิสระจากประเทศไทย จำนวน 431 คน (ร้อยละ 35.2)เนื่องจากเป็นประเด็นที่ค่อนข้างอ่อนไหว
เมื่อสรุปทั้ง 3 คำถามของการสำรวจทั้ง 6 ครั้งเป็นตารางก็จะได้ดังนี้
คำถามที่ 1 หากต้องการจะให้ปัญหายุติ ทางออกคือต้องแยกเป็นรัฐอิสระจากประเทศไทยหรือไม่ | ||||
ครั้งที่ | จำนวนตัวอย่าง | ไม่แยกเป็นรัฐอิสระ | แยกเป็นรัฐอิสระ | ไม่รู้/ไม่ตอบ |
ครั้งที่ 1 กุมภาพันธ์ – มีนาคม 2559 | 1,560 คน | ร้อยละ 48.3 | ร้อยละ 8.6 | ร้อยละ 43.1 |
ครั้งที่ 2 กรกฎาคม - สิงหาคม 2559 | 1,570 คน | ร้อยละ 45.8 | (ร้อยละ 8.3) | ร้อยละ 45.9 |
ครั้งที่ 3 เมษายน-พฤษภาคม 2560 | 1,608 คน
| ร้อยละ 49.5 | (ร้อยละ 10.9) | ร้อยละ 39.6 |
ครั้งที่ 4 สิงหาคม–กันยายน 2561 | 1,609 คน | ร้อยละ 48.4 (778 คน) | ร้อยละ 6.8 (109 คน) | ร้อยละ 44.9 (722 คน) |
ครั้งที่ 5 กันยายน – ตุลาคม 2562 | 1,637 คน | ร้อยละ 53.9 (883 คน) | ร้อยละ 6.7 (109 คน) | ร้อยละ 39.4 (645 คน) |
ครั้งที่ 6 เมษายน - กรกฎาคม 2564 | 1,311 คน | ร้อยละ 49.7 (652 คน) | ร้อยละ 6.6 (87 คน) | ร้อยละ 43.7 (574 คน) |
จากตารางนี้สามารถสรุปโดยรวมได้ว่า คนส่วนใหญ่เห็นว่า หากต้องการจะให้ปัญหายุติ ไม่จำเป็นต้องแยกพื้นที่นี้เป็นรัฐอิสระจากประเทศไทย แต่คนที่เลี่ยงที่จะตอบคำถามนี้ก็มีสัดส่วนสูงมาก หากรวมกับจำนวนคนที่ต้องการให้แยกเป็นรัฐอิสระก็จะมีสัดส่วนเกินครึ่งหนึ่งเกือบทุกครั้งของการสำรวจ
คำถามที่ 2 ความสำคัญและความจำเป็นของการพูดคุยเรื่องรูปแบบการปกครองที่เหมาะสมกับพื้นที่ | |||||
ครั้งที่ | จำนวนตัวอย่าง | จำเป็น | ปานกลาง/เฉยๆ | จำเป็นน้อย/ ไม่จำเป็น | ไม่รู้/ขอไม่ตอบ |
ครั้งที่ 1 กุมภาพันธ์ – มีนาคม 2559 | 1,560 คน | ร้อยละ 61.7 |
| ร้อยละ 7.5 | ร้อยละ 30.7 |
ครั้งที่ 2 กรกฎาคม - สิงหาคม 2559 | 1,570 คน | ร้อยละ 58.1 | ร้อยละ 13.4 | ร้อยละ 5.8
| ร้อยละ 22.7 |
ครั้งที่ 3 ไม่มีคำถามนี้ |
|
|
|
|
|
ครั้งที่ 4 ไม่มีคำถามนี้ |
|
|
|
|
|
ครั้งที่ 5 กันยายน – ตุลาคม 2562 | 1,637 คน | ร้อยละ 37.1 (607 คน) | ร้อยละ 23.8 (390 คน) | ร้อยละ 18.6 (304 คน) |
|
ครั้งที่ 6 เมษายน - กรกฎาคม 2564 | 1,311 คน | ร้อยละ 44.9 (589 คน) | ร้อยละ 20.6 (270 คน) | ร้อยละ 14.3 (189 คน) |
|
ข้อมูลจากตารางนี้สามารถสรุปได้ทันทีว่าการพูดคุยเรื่องรูปแบบการปกครองที่เหมาะสมกับพื้นที่เป็นเรื่องที่มีความสำคัญและมีความจำเป็นเพราะคนส่วนใหญ่เห็นด้วย จึงนำมาสู่คำถามต่อไปซึ่งได้สรุปออกมาเป็นตารางด้านล่างนี้
คำถามที่ 3 รูปแบบการบริหารปกครองที่อยากเห็นที่สุด | ||||||||
ครั้งที่ | จำนวนตัวอย่าง | เพิ่มอำนาจอบจ. อบต. | ไม่เปลี่ยน แปลงใดๆ | เลือกตั้งผู้ว่าฯ/เขตปกครองพิเศษ | เลือกตั้งผู้ว่าฯ แต่ละจังหวัด | เลือกตั้งผู้ว่าฯ โดยรวม จชต. เป็นเขตเดียว | เป็นอิสระจากไทย
| ไม่รู้/ขอไม่ตอบ (ในรูปแบบอิสระจากไทย) |
ครั้งที่ 1 | 1,560 คน | ร้อยละ 22.2 | ร้อยละ15.6 | ร้อยละ 26.5 |
|
| ร้อยละ 14.2 | ไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 |
ครั้งที่ 2 | 1,570 คน | ร้อยละ 28.1 | ร้อยละ15.3 | ร้อยละ 32.4 |
|
| ร้อยละ 12.7 | ไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 |
ครั้งที่ 3 | 1,608 คน
| ร้อยละ 21.2 | ร้อยละ14.1 | ร้อยละ 25.2 |
|
| ร้อยละ 12.1 | ไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 |
ครั้งที่ 4 | 1,609 คน |
| ร้อยละ18.2 (292 คน) |
| ร้อยละ 23 (370 คน) | ร้อยละ 19.5 (314 คน) | ร้อยละ 13.9 (225 คน) | ร้อยละ 40.3 (648 คน ) |
ครั้งที่ 5 | 1,637 คน | ร้อยละ 17.9 (292 คน) | ร้อยละ20.7 (339 คน) | ร้อยละ 23.3 (382 คน) |
|
| ร้อยละ 10.1 (165 คน) | ร้อยละ 34.5 (566 คน) |
ครั้งที่ 6 | 1,311 คน | ร้อยละ 27.3 (358 คน) | ร้อยละ25.9 (340 คน) | ร้อยละ 24.4 (319 คน) |
|
| ร้อยละ 13.4 (176 คน) | ร้อยละ 35.2 (431 คน) |
ข้อมูลจากตารางชี้ให้เห็นว่าสอดคล้องกับที่ ศรีสมภพได้สรุปไว้ข้างต้น เพราะหลายรูปแบบล้วนอยู่ภายใต้หลักการกระจายอำนาจตามกฎหมายได้ ซึ่งเป็นรูปแบบที่มีผู้เลือกตอบเป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นรูปแบบที่เป็นอิสระจากประเทศไทย ก็คือ การแยกเป็นเอกราชนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม แม้รูปแบบการเป็นอิสระจากประเทศไทยจะมีผู้เลือกตอบโดยรวมอยู่ที่ประมาณร้อยละ 10 กว่าๆ ทว่ายังมีมีผู้ที่ “ขอไม่ตอบ” “ไม่รู้” ในคำถามที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบที่เป็นอิสระจากประเทศไทยโดยรวมทั้ง 6 ครั้งประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ตอบคำถามทั้งหมด เนื่องจากเป็นประเด็นที่ค่อนข้างอ่อนไหว และผู้ตอบมีความระมัดระวังตัวในการแสดงความคิดเห็น
แต่ถ้าลองนำผลสำรวจในคำถามข้อที่ 1 “หากต้องการจะให้ปัญหาความไม่สงบยุติลง ทางออกคือต้องแยกเป็นรัฐอิสระจากประเทศไทยหรือไม่” มาเปรียบเทียบกับประชากรทั้งหมดใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4อำเภอของสงขลารวมกันประมาณ 2 ล้านคน โดยเดาใจว่า ผู้เลือก “ไม่รู้” “ขอไม่ตอบ” และ “ไม่ระบุ” จริงๆ แล้ว “ต้องการแยก” หรือ “ไม่ต้องการแยกเป็นรัฐอิสระจากประเทศไทย ผลที่ได้ก็จะออกเป็น 3 ทางดังนี้
1. หากผู้เลือก “ไม่รู้” “ขอไม่ตอบ” และ “ไม่ระบุ” ทั้งหมด เลือกที่จะ “แยกเป็นรัฐอิสระ” สัดส่วนของผู้ที่ต้องการแยกเป็นรัฐอิสระจะอยู่ที่ประมาณครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งหมด หรือ ประมาณร้อยละ 50 เทียบเท่ากับประชากรประมาณ 1 ล้านคน
2. หากผู้เลือก “ไม่รู้” “ขอไม่ตอบ” และ “ไม่ระบุ” ทั้งหมด เลือกที่จะ “ไม่แยกเป็นรัฐอิสระ” สัดส่วนของผู้ที่ไม่ต้องการแยกเป็นรัฐอิสระจะอยู่ที่ประมาณ ร้อยละ 80-90 เทียบเท่ากับประชากรประมาณ 1,600,000 คน ถึง 1,800,000 คน
3. หากผู้เลือก “ไม่รู้” “ขอไม่ตอบ” และ “ไม่ระบุ” เลือกที่จะ “แยกเป็นรัฐอิสระ” และ“ไม่แยกเป็นรัฐอิสระ” มีจำนวนคนละครึ่งกัน สัดส่วนของผู้ที่ต้องการแยกเป็นรัฐอิสระจะอยู่ที่ประมาณ ร้อยละ 65 เทียบเท่าประชากรประมาณ 1,300,000 คน และ สัดส่วนของผู้ที่ไม่ต้องการแยกเป็นรัฐอิสระจะอยู่ที่ประมาณ ร้อยละ 35 เทียบเท่าประชากรประมาณ 700,000 คน
แม้ผลสำรวจเกี่ยวกับทั้ง 3 คำถามในข้อนี้ อาจยังไม่สะท้อนความคิดเห็นที่แท้จริง แต่หากรัฐนึกอยากจะให้มีการทำ “ประชามติว่าเห็นด้วยกับการแยกจังหวัดชายแดนภาคใต้หรือปาตานีเป็นเอกราช” ขึ้นมาจริง ๆ อย่างที่ตั้งคำถามในตอนต้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลแค่อยากสำรวจทัศนคติของประชาชนเฉยๆ หรือเพื่อฐานข้อมูลในการตัดสินใจเพื่อจัดการอนาคตของพื้นที่ หรืออะไรก็แล้วแต่ คำตอบที่ได้อาจสะท้อนความจริงได้มากกว่านี้ และเชื่อว่าแนวทางการแก้ปัญหาก็อาจจะตั้งอยู่บนฐานความเป็นจริงของพื้นที่และมีความยั่งยืนมากขึ้นก็เป็นได้
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)