องค์กรสิทธิ 9 แห่งร่วมกันเรียกร้องรัฐบาลให้เตรียมฝึกเจ้าหน้าที่และสนับสนุนงบประมาณในภารกิจป้องกันการซ้อมทรมานและอุ้มหายที่กฎหมายกำลังจะมีผลบังคับใช้กุมภาพันธ์ปีหน้า
22 ธ.ค.2565 องค์กรด้านสิทธิมนุษยชน 9 แห่ง ที่ทำงานผลักดันประเด็นป้องกันการซ้อมทรมานและบังคับสูญหายร่วมกันออกแถลงการณ์เรียกร้องรัฐบาลให้เตรีมความพร้อมหน่วยงานของภาครัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อให้พร้อมทำงานเพื่อป้องกันการซ้อมทรมานและการบังคับสูญหาย เนื่องจากกฎหมายที่เกี่ยวข้องกำลังจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในอีก 60 วันข้างหน้าคือวันที่ 22 ก.พ.2566
แถลงการณ์ระบุว่า พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ที่กำลังจะมีผลบังคับใช้ในอีก 60 วันข้างหน้ามีบทบัญญัติสำคัญที่กำหนดให้การทรมาน การกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมและย่ำยีศักดิ์ศรี และการกระทำหรือบังคับให้บุคคลสูญหายเป็นความผิดอาญา ซึ่งจะมีผลในการป้องกันและปราบปรามการทรมาน การฆ่านอกกระบวนการยุติธรรม (extra-judicial killing) และบังคับสูญหายโดยเจ้าหน้าที่รัฐ
นอกจากนั้นยังมีบทบัญญัติที่จะมีผลในการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในชั้นพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการอย่างมาก เช่น กำหนดให้ในการจับกุมบุคคล ตำรวจหรือเจ้าหน้าที่จะต้องมีกล้องติดตามตัว หรือ Body Cam เพื่อป้องกันไม่ให้มีการทรมานหรือการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ อีกทั้งเจ้าหน้าที่ที่จับกุมคุมขังบุคคลต้องแจ้งให้หน่วยงานอื่น เช่น ฝ่ายปกครองและอัยการทราบเกี่ยวกับการควบคุมตัวทันที พร้อมทำบันทึกรายละเอียดของการจับกุมและควบคุมตัว เพื่อให้ครอบครัวของผู้ถูกจับและทนายความตรวจสอบได้
แถลงการณ์ระบุว่า ข้อกำหนดเหล่านี้ไม่เพียงเป็นประโยชน์ในการคุ้มครองผู้ถูกจับกุมคุมขังเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐที่สุจริต ในกรณีที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดด้วย กฎหมายยังให้ศาลคดีอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ รวมทั้งพิจารณาคดีที่เจ้าหน้าที่ที่อยู่ในอำนาจของศาลทหารตกเป็นจำเลยด้วย นอกจากนี้กฎหมายยังกำหนดให้รัฐมีมาตรการต่างๆ ในการช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้เสียหาย ทั้งในด้านชีวิตความเป็นอยู่ ร่างกาย และจิตใจด้วย
การที่รัฐสภาได้ตราพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ที่อนุวัติการตามพันธกรณีตามอนุสัญญา CAT และ อนุสัญญา CED และผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรนี้ได้รับความชื่นชมจากประชาชน องค์กรสิทธิมนุษยชนทั้งในประเทศและต่างประเทศและนานาประเทศอย่างยิ่ง ทั้งนี้ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565 นายกรัฐมนตรีได้แสดงความยินดีที่สำนักงานเพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNOHCHR) ชื่นชมประเทศไทยที่ได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ นี้
องค์กรที่ร่วมลงนามครั้งนี้จึงได้เรียกร้องรัฐบาลให้เตรียมความพร้อมในการใช้นำกฎหมายฉบับนี้ โดยต้องเร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมในการบังคับใช้ให้กฎหมายดังกล่าวเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ สนับสนุนงบประมาณที่เพียงพอ รวมถึงฝึกอบรมกฎหมายแก่เจ้าหน้าที่และเผยแพร่ต่อประชาชน เพื่อการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน และเพื่อให้เกิดความมั่นใจต่อประชาชนและนานาชาติ ว่า พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 จะมีผลบังคับใช้อย่างมีประสิทธิภาพตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย ในวันที่ 22 ก.พ.2566 อย่างแน่นอน
รายชื่อองค์กรที่ร่วมลงนามในแถลงการณ์ฉบับนี้ได้แก่
- สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.)
- สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (สนส.)
- มูลนิธิผสานวัฒนธรรม
- องค์กรเครือข่ายสิทธิมนุษยชนปาตานี(HAP)
- กลุ่มด้วยใจ
- มูลนิธิดิจิทัลเพื่อสันติภาพ
- มูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ
- เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากกฎหมายพิเศษ (JASAD)
- สมัชชาประชาสังคมเพื่อสันติภาพ (CAP)
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)