นักข่าวต่างประเทศจาก GIJN แนะวิธีการทำข่าวสืบสวนสอบสวนเพื่อแกะรอยการบังคับสูญหาย อาชญากรรมอันโหดร้ายที่หลายครั้งมีรัฐเป็นผู้กระทำความผิด และยากที่จะนำตัวคนผิดมาลงโทษ พร้อมแนะเคล็ดลับการรายงานข่าวแบบปลอดภัยรัดกุม เพื่อสร้างความมั่นคงทางกายและใจให้แก่เหยื่อ หรือครอบครัวของเหยื่อ
ช่วงต้นของซีรีส์เรื่อง “Breaking Bad” [ผู้แปล - ชื่อไทยคือ ‘ดับเครื่องชน คนดีแตก’ ละครแนวอาชญากรรม ออกอากาศทางโทรทัศน์เคเบิลทีวีช่อง AMC ของสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี 2008-2013] เปิดฉากมาด้วยภาพของตัวละครหลัก 2 คนพยายามใช้กรดละลายศพในอ่างอาบน้ำ ฉากที่ดูแล้วรบกวนจิตใจนี้แสดงให้เห็นถึงอุปสรรคในการกำจัดศพของผู้ผลิตยาไอซ์ต้องเอาชนะให้ได้ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วการทดลองก็ประสบความสำเร็จสุดๆ จนพวกเขาต้องทำซ้ำอีกในตอนต่อๆ มา
ขณะที่ซีรีส์ออกอากาศซ้ำอีกครั้งในเน็ตฟลิกซ์ รายละเอียดอันน่าสยดสยองนี้ก็ถูกใช้ฉายซ้ำอีกครั้งเพื่อกระตุ้นทางอารมณ์คนดู ตัวละครเหล่านี้กำลังใช้เครื่องมือที่เคยถูกใช้มาแล้วโดยฝ่ายความมั่นคงและกลุ่มองค์กรอาชญากรรม ซึ่งก่ออาชญากรรมที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนหลายประการ ทว่า เครื่องมือเหล่านี้กลับเป็นแนวทางปฏิบัติที่แพร่หลายไปทั่วโลก นั่นคือ การทำให้บุคคลสูญหาย
แรกเริ่มเดิมที การบังคับสูญหายถูกใช้ในสงคราม เป็นเทคนิคป้องกันไม่ให้ศพของศัตรูถูกส่งกลับไปยังบ้านเกิด ถูกใช้โดยรัฐบาลอำนาจนิยมในฐานะกลยุทธ์ต่อต้านกับผู้ก่อความไม่สงบอย่างทารุณ (ดังที่เคยมีให้เห็นทั่วภูมิภาคลาตินอเมริกาช่วงทศวรรษที่ 1970) หรือเพื่อสร้างความหวาดกลัวให้กลุ่มคนที่ถือว่าเป็นฝ่ายศัตรูในสงครามกลางเมือง (ตัวอย่างที่ดังที่สุดของกรณีนี้เกิดขึ้นในประเทศสเปน บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา รวันดา ซีเรีย และอิรัก) โดยกลุ่มขบวนการอาชญากรรมต่างๆ นำแนวทางปฏิบัตินี้มาขัดเกลาให้มีความแหลมคมยิ่งขึ้น
การทำให้บุคคลสูญหายเป็นประโยชน์แก่ผู้กระทำความผิดในหลายทาง ทั้งทำให้การสืบสวนสอบสวนซับซ้อนมากขึ้น
การสืบสวนสอบสวนเกี่ยวกับบุคคลสูญหายเริ่มต้นขึ้นเมื่อคนๆ หนึ่งหายตัวไป หรือเริ่มขึ้นเมื่อค้นพบศพที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้
การทำให้บุคคลสูญหายเป็นประโยชน์แก่ผู้กระทำความผิดในหลายทาง ทั้งทำให้การสืบสวนสอบสวนซับซ้อนมากขึ้น ทำให้เหยื่อยังคงถูกซ่อนอยู่เกือบตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นหรือตาย อีกทั้งวิธีการเช่นนี้ยังสามารถนำไปผสมกับอาชญากรรมรูปแบบอื่นๆ เพื่อก่อให้เกิดความสับสน เช่น การลักพาตัว การลักพาเด็ก การค้ามนุษย์ การบังคับไปใช้แรงงาน หรือการฆาตกรรม
ตัวอย่างที่เคยมีให้เห็นในประเทศต่างๆ เช่น เม็กซิโกและกัวเตมาลา เจ้าหน้าที่ที่ใช้วิธีผิดกฎหมายเพื่อจัดการผู้ก่อความไม่สงบหรือผู้ก่อการร้ายต่อรัฐ เป็นกลุ่มเดียวกับเจ้าหน้าที่ที่ฝึกฝนวิธีการเหล่านี้ให้แก่องค์กรอาชญากรรม ทั้งการทารุณกรรม การฆาตกรรม และการทำให้คนสูญหาย
มีหลักฐานด้วยว่าในประเทศต่างๆ ที่มีระดับการลอยนวลพ้นผิดและการทุจริตอยู่ในระดับสูง ผู้กระทำผิดจะได้รับความคุ้มครอง และหากเจ้าหน้าที่รัฐไม่ได้เป็นผู้ก่ออาชญากรรมเสียเอง เจ้าหน้าที่เหล่านี้ก็มักเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในการสูญหาย นอกจากนี้ ยาเสพติดและเงินสกปรกยังทำให้สถานการณ์ซับซ้อนขึ้นไปอีก รายงานของคณะกรรมการระหว่างประเทศว่าด้วยบุคคลสูญหาย (ICMP) กล่าวโดยสรุปว่า “การเติบโตของอุตสาหกรรมยาเสพติดผิดกฎหมายในทวีปอเมริกาใต้และอเมริกากลางก่อให้เกิดส่วนผสมอันเป็นพิษของพ่อค้ายาเสพติด กองกำลังกึ่งทหารของฝ่ายขวาและฝ่ายซ้าย รวมถึงกองกำลังความมั่นคงที่ขาดความยั้งมือ” และ “ในทุกๆ กรณี นี่คือสิ่งที่นำไปสู่การแพร่ระบาดของการข่มขู่คุกคาม การฆาตกรรม และการทำให้บุคคลสูญหาย”
ตามข้อมูลขององค์การสหประชาชาติ ผู้คนกว่าหลายแสนคนหายตัวไปท่ามกลางความขัดแย้งหรือช่วงเวลาของการปราบปรามในอย่างน้อย 85 ประเทศทั่วโลก แต่เนื่องจากหลายประเทศไม่ได้รายงานสถิติอาชญากรรมนี้และยังไม่มีนิยามที่ยอมรับกันโดยสากล การประเมินตัวเลขบุคคลที่ถูกทำให้สูญหายไปในแต่ละปีอย่างแม่นยำจึงยังทำไม่ได้ อาทิ บางประเทศนั้นนับเฉพาะเหยื่อของการบังคับสูญหายที่กระทำโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลเท่านั้น บางประเทศนับการสูญหายใดๆ ก็ตามที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรง บางประเทศนับทุกคนที่ไม่ทราบที่อยู่ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด เช่น สงคราม การย้ายถิ่น หรือภัยพิบัติทางธรรมชาติ
นอกจากผลกระทบส่วนบุคคลและผลกระทบทางความรู้สึกต่อสมาชิกครอบครัวของบุคคลที่ถูกทำให้สูญหายแล้ว การทำให้บุคคลสูญหายยังมีผลกระทบทางเศรษฐกิจด้วย งานวิจัยชิ้นหนึ่งของประเทศออสเตรเลียประมาณการว่าบุคคลสูญหายหนึ่งคนจะทำให้ประชาคมสูญเสียรายได้ คิดเป็นเงิน 1,770 ดอลลาร์สหรัฐ โดยตัวเลขนี้ครอบคลุมค่าค้นหา ค่าเสียรายได้ขณะสมาชิกในครอบครัวออกตามหา และค่าใช้จ่ายทางสุขภาพ รวมถึงค่าใช้จ่ายทางกฎหมาย
วิธีการทำให้คนสูญหายมีความหลากหลายอย่างมากและขึ้นอยู่กับบริบทของกรณีนั้นๆ ในประเทศอย่างเวเนซูเอลาหรืออินเดีย เป็นที่ทราบกันดีว่าเคยมีกรณีที่คนงานเหมืองผิดกฎหมายถูกทำให้สูญหาย ในฟิลิปปินส์ การบังคับสูญหายเกิดขึ้นกับคนที่รัฐบาลมองว่ากระทำผิดเป็นหรือผู้ค้ายาเสพติด ในเม็กซิโก การบังคับสูญหายอาจเกิดขึ้นกับคนที่ติดอยู่ในข้อพิพาทด้านเขตแดนของกลุ่มอาชญากรรมต่างๆ เด็กชาวเวียดนามอาจหาญตัวไปภายในเครือข่ายในยุโรปที่ลักลอบแสวงหาผลประโยชน์จากมนุษย์ หรือการที่ชาวประมงบางคนที่ถูกบังคับไปเป็นแรงงานทาสในอุตสาหกรรมอาหารทะเลของไทยและไม่เคยถูกพบอีกเลย รวมถึงการที่กลุ่มาเฟียในอิตาลีละลายร่างของเหยื่อในน้ำกรด
การพบเหยื่อผ่านการรายงานข่าวเป็นเรื่องที่แทบไม่เกิดขึ้นเลย แต่มีวิธีอื่นๆ ที่นักข่าวสามารถช่วยได้ เช่น การแสดงให้เห็นถึงบริบทของการสูญหาย หรือการรายงานแบบแผนการก่ออาชญากรรมของกลุ่มผู้กระทำผิด
อาชญากรทำให้คนสูญหายด้วยเหตุผลแตกต่างกันออกไป เช่น เพื่อลงโทษคนที่ถูกมองว่าเป็นศัตรู ทำร้ายผู้คนที่เป็นก้างขวางคอทางธุรกิจ ทำให้สังคมหวาดผวา (เพื่อควบคุมคนและเขตแดน) และส่งสารเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของสถานที่ เส้นทางการค้า หรือตลาด นอกจากนี้ การบังคับสูญหายยังถูกใช้เพื่อปกปิดการฆาตกรรมด้วยการกำจัดองค์ความผิด [corpus delicti] หรือหลักฐานที่บ่งบอกว่ามีการกระทําผิดเกิดขึ้น (ร่างของเหยื่อและหลักฐานของการก่ออาชญากรรม) และใช้เพื่อหลีกเลี่ยงจากความสนใจอันไม่น่าพึงประสงค์ของตำรวจ
การบังคับสูญหายเป็นอาชญากรรมที่ไม่มีวันจบ กล่าวคือมันดำเนินต่อไปจนกว่าเหยื่อจะปรากฎตัวอีกครั้ง ไม่ว่าเป็นหรือตาย การไม่รู้ว่าเหยื่ออยู่ที่ไหนอย่างแน่ชัดมีพลังทำลายล้างและสร้างความทุกข์ทรมานอย่างไม่รู้จบให้แก่คนที่ออกตามหาบุคคลดังกล่าว ความไม่แน่ชัดเช่นนี้พรากทั้งสุขภาพ เงินเก็บ สายใยทางสังคม ความมั่นคง แผนชีวิต รวมถึงความผาสุกทางอารมณ์และสุขภาพจิตไปจากพวกเขา นอกจากครอบครัวแล้ว การสูญหายของบุคคลยังส่งผลกระทบต่อคนที่สนิทกับเหยื่อและส่งผลสะเทือนต่อชุมชนทั้งชุมชน เหนือสิ่งใด การไม่ต้องรับผิดก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้มีเหยื่อซ้ำอย่างต่อเนื่อง
เราใช้วิธีการทำข่าวสืบสวนสอบสวนเพียงวิธีเดียวกับอาญชากรรมเหล่านี้ไม่ได้ เพราะกลุ่มอาชญากรรมทุกกลุ่มล้วนทำงานตามกติกา ความสามารถ และบริบทของตัวเอง เมื่อหน่วยงานรัฐมีส่วนพัวพันหรือเข้ามาเกี่ยวข้องโดยตรง การยืนยันภาพรวมทั้งหมดก็อาจยากขึ้นอีก
มีหลักฐานว่าองค์กรต่างๆ มักมีคนที่เชี่ยวชาญเรื่องทำให้ผู้อื่นสูญหาย ซึ่งอาจหมายถึงการส่งเหยื่อเข้าไปในค่ายแรงงานบังคับ ฆ่าเหยื่อทิ้งและซ่อนศพไว้ใต้ดินหรือใต้น้ำ ทำลายศพด้วยน้ำกรดหรือเผาร่างทิ้ง ความโหดร้ายที่เกิดขึ้นนั้นไร้ขีดจำกัดจนเกินจินตนาการ
การหาตัวเหยื่อผ่านการรายงานข่าวเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยเกิดขึ้น ส่วนใหญ่แล้วนักข่าวช่วยได้ผ่านการปะติดปะต่อเพื่อเล่าบริบทของการสูญหาย แสดงให้เห็นแบบแผนการก่ออาชญากรรมของกลุ่มผู้กระทำผิด สืบสวนสอบสวนว่าเหยื่อและผู้กระทำผิดคือใคร ขุดคุ้ยว่าเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างไร วิเคราะห์ความสำเร็จหรือความล้มเหลวของการสืบสวนสอบสวนของทางการ และอาจปัดเป่าความสับสนต่อเหตุการณ์บางอย่าง เช่น สถานที่ แรงจูงใจ และรูปแบบของการทำให้บุคคลสูญหาย
นักข่าวต้องใช้วิธีการหลายแบบเพื่อให้ได้ข้อมูล เพราะสำนักข่าวไม่มีขอบข่ายหน้าที่เหมือนกับสำนักงานอัยการที่มีอำนาจสัมภาษณ์ผู้กระทำผิด เข้าไปในศูนย์รักษาความปลอดภัยที่คนถูกคุมตัวอยู่ ขุดสถานที่ที่ อาจเป็นที่ฝังศพเพื่อหาชิ้นส่วนที่เหลืออยู่ และวิเคราะห์พันธุ์กรรมจากชิ้นส่วนมนุษย์เพื่อระบุตัวบุคคลที่ถูกฆาตกรรม
แหล่งข่าว
เริ่มการสืบสวนด้วยการรวบรวมการเอกสารข่าว บทความ รูปภาพ และแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่ช่วยให้บริบทของคดีดีขึ้นให้ได้มากที่สุด ขณะดูข้อมูล ให้หาแง่มุม แหล่งข้อมูลอื่นๆ และความเสี่ยงส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการสืบสวนสอบสวน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก
องค์กรที่มีผู้เชี่ยวชาญและได้รับการยอมรับเกี่ยวกับบุคคลสูญหายมีดังนี้
- คณะกรรมการระหว่างประเทศว่าด้วยบุคคลสูญหาย (The International Commission on Missing People: ICMP) เชี่ยวชาญในการดูกรณีบุคคลสูญหายและถนัดเกี่ยวกับการบัญญัติกฎหมายระหว่างประเทศในประเด็นนี้
- โครงการเพื่อคนย้ายถิ่นที่สูญหาย (Missing Migrant Project) ขององค์การระหว่างประเทศเพื่อการย้ายถิ่นฐาน (International Organization for Migration: IOM) เป็นผู้คอยติดตามเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับคนย้ายถิ่นประเภทต่างๆ เช่น ผู้ลี้ภัย ผู้ขอลี้ภัย ที่เสียชีวิตหรือสูญหายในระหว่างการย้ายถิ่น
- สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติ (The Office of the United Nations High Commissioner for Human Rights: OHCHR) มุ่งแก้ไขประเด็นสิทธิมนุษยชนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับคนย้ายถิ่นและเหยื่อจากอาชญากรรม โดยเป็นองค์กรที่มีคณะกรรมาธิการว่าด้วยการบังคับสูญหาย
- แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชันแนล (Amnesty International) ดูกรณีการบังคับสูญหายเช่นเดียวกัน
- กลุ่มวิเคราะห์ข้อมูลสิทธิมนุษยชน (Human Rights Data Analysis Group: HRDAG) เป็นผู้ประสานงานเกี่ยวกับการค้นหาหลุมฝังศพจำนวนมากในเม็กซิโก พวกเขาใช้ข้อมูลเพื่อดูการบังคับสูญหายและเผยแพร่รายงานการบังคับสูญหายในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะ
- ทีมนิติมานุษยวิทยาแห่งอาร์เจนตินา (Equipo Argentino de Antropología Forense: EAAF) กลุ่มสัญชาติอาร์เจนตินากลุ่มใช้เทคนิคทางนิติวิทยาศาสตร์เพื่อค้นหา กู้คืน และค้นหาบุคคลสาบสูญ
- คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (The International Committee of the Red Cross: ICRC) ดูเกี่ยวกับบุคคลสูญหายทั่วโลก
ก่อนเริ่มงานภาคสนาม เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่เราจะต้องรู้เกี่ยวกับกลุ่มอาชญากรรมที่ปฏิบัติการในพื้นที่และภูมิหลังขององค์กรบังคับใช้กฎหมายในท้องถิ่นให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อตรวจหาแบบแผนของการคุ้มครองที่อาจมี
โปรดตั้งข้อกังขากับรายงานจากสื่ออื่นๆ เพราะนักข่าวอาจถูกปิดปากไม่ให้พูด แทนที่จะเชื่อรายงานอื่น จงมองหาแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่มีความรู้ด้านพลวัตของอาชญากรรม วาดแผนผังผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้อง และวิเคราะห์ว่าพวกเขาจะติดต่อมาเป็นลำดับที่เท่าใดและเมื่อใด และคำนวณความเสี่ยงต่อความปลอดภัยจากการสืบสวนสอบสวนใดๆ ก็ตาม
นักข่าวจะต้องพิจารณาอย่างระมัดระวังว่าเหตุการณ์ที่เจ็บปวดอาจส่งผกระทบลต่อสิ่งที่คนจดจำอย่างไร
พยายามหาข้อมูลติดต่อคนในพื้นที่ก่อนเดินทางเข้าไปในพื้นที่ทำข่าว กำหนดแนวทางปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยส่วนบุคคลในกรณีฉุกเฉิน และหลีกเลี่ยงการถือข้อมูลที่อาจบั่นทอนการสืบสวนสอบสวนหรือแหล่งข้อมูลอื่นๆ อยู่เสมอ
วางแผนโดยให้ความสนใจไปที่การพยายามยืนยันว่าใครเป็นผู้บังคับสูญหายบุคคลหรือกลุ่มที่เป็นประเด็น และอย่างไร ยืนยันด้วยว่าเหยื่ออาจยังมีชีวิต เสียชีวิตแล้ว หรือถูกกักขังอยู่หรือไม่ มีหลุมฝังศพนิรนามหรือร่างที่ไม่ระบุตัวตนหรือไม่ และเรื่องนี้สอดคล้องกับแบบแผนในพื้นที่หรือไม่
สมาชิกครอบครัวและบุคคลที่ใกล้ชิดกับเหยื่อ
การเข้าหาและการสัมภาษณ์จะต้องกระทำด้วยความเคารพ ความเห็นอกเห็นใจ และความละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง ในกรณีส่วนใหญ่ สมาชิกครอบครัวเคยสืบสวนสอบสวนและมีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น ที่สำคัญคือเราต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญว่าจะสัมภาษณ์บุคคลเหล่านี้อย่างไรโดยไม่ซ้ำเติมบาดแผลทางจิตใจของครอบครัวหรือเพื่อนของเหยื่อ
นักข่าวจะต้องพิจารณาอย่างระมัดระวังว่าเหตุการณ์ที่เจ็บปวดอาจส่งผกระทบลต่อสิ่งที่คนจดจำอย่างไร ความทรงจำอาจถูกบิดเบือนด้วยเวลาที่ผ่านไป ข่าวสาร หรือความเห็นของคนอื่น และการลืมรายละเอียดบางอย่าง ในทุกกรณีแล้ว เป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องมองหาหลักฐานสนับสนุนคำให้การเหล่านี้และหลีกเลี่ยงการยัดเยียดความจริงบางอย่างด้วยการละเว้นความจริงแบบอื่นๆ ที่ขัดแย้งกัน
พยาน
ขณะที่ทำงานภาคสนาม ให้ค้นหาว่าใครอาจเป็นพยานในการหายตัวไปและสอบถามเกี่ยวกับรายละเอียดต่างๆ ดู
ผู้รอดชีวิต
ข้อมูลที่มีค่าที่สุดอาจมาจากคนที่เคยถูกจับไปอยู่ที่เดียวกับเหยื่อ แต่พวกเขาอาจไม่ยอมพูดเพราะกลัว ดังนั้น ในการสัมภาษณ์ทุกครั้ง นักข่าวจะต้องให้ความสำคัญต่อความปลอดภัยของแหล่งข่าวเป็นอันดับแรกและเลี่ยงหลีกการซ้ำเติมบาดแผลทางจิตใจ ในหลายกรณี คนที่เคยถูกบังคับให้พลัดถิ่นหรือย้ายออกจากประเทศที่ตนเองตกเป็นเป้าโจมตีอาจสะดวกใจพูดมากกว่า
นักรณรงค์สิทธิมนุษยชน ทนายความ กลุ่มคณะ ผู้นำชุมชน และนักบวช
ครอบครัวที่รวมตัวกันเป็นกลุ่ม ซึ่งกรณีที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของพวกเขามีความคล้ายคลึงกัน พวกเขาอาจมีข้อมูลที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นประโยชน์ต่อการสังเกตแบบแผนที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมต่างๆ ที่พวกเขาพยายามสอบสวน
เอกสารการพิจารณาคดีในชั้นศาล
ลองตั้งคำถาม เช่น มีคนที่เคยถูกจำคุกและอาจมีข้อมูลชั้นต้นเกี่ยวกับเครือข่ายอาชญากรรมที่ถูกสืบสวนสอบสวนอยู่หรือไม่ มีใครให้การในชั้นศาลแย้งกับกลุ่มอาชญากรรมหรือไม่ จงพึงระลึกไว้ว่าข้อมูลทั้งหมดจะต้องถูกตรวจสอบโดยเทียบกับแหล่งข่าวอื่นๆ
ใช้กฎหมายเสรีภาพข้อมูลข่าวสาร
หลายครั้ง ข้อมูลที่นักข่าวต้องการนั้นมีอยู่ แต่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ นักข่าวจึงต้องใช้เครื่องมือที่มีความโปร่งใสเพื่อให้ได้ข้อมูลนั้นๆ มา เช่น ใช้ช่องทางตามกฎหมายเสรีภาพข้อมูลข่าวสาร หรือใช้ขอข้อมูลจากสถาบันต่างๆ ภายในประเทศของตนเอง (หรือของประเทศอื่นๆ) ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น
แหล่งข่าวโอเพนซอร์สอื่นๆ
มองหาข้อมูลในบัญชีโซเชียลมีเดียของบุคคลที่ถูกทำให้สูญหาย หาเบาะแสเผ่านกิจกรรม ข้อมูลผู้ติดต่อของเจ้าของบัญชี และเครื่องมือสาธารณะอื่นๆ การใช้ตารางเอ็กซ์เซลช่วยจัดระบบข้อมูลก็เป็นวิธีที่มีประโยชน์
ตำรวจและอัยการ
บุคคลเหล่านี้คือผู้รับผิดชอบการสืบสวนสอบสวนอย่างเป็นทางการ แต่ต้องระวัง อย่าเผยแพร่รายละเอียดใดๆ ที่อาจทำให้การสืบสวนของพวกเขาตกอยู่ในความเสี่ยง หรือกระทำการใดๆ ที่อาจส่งสัญญาณเตือนไปยังผู้กระทำความผิด หรือช่วยเหลือกลุ่มคนร้ายอย่างไม่ตั้งใจ ซึ่งจะทำให้เหยื่อตกอยู่ในอันตรายมากกว่าเดิม
เมื่อปรึกษากับตำรวจหรือหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย หลีกเลี่ยงการเปิดเผยข้อมูลสำคัญที่คุณทราบเกี่ยวกับอาชญากรรมดังกล่าว อย่าเปิดเผยความเคลือบแคลงใจใดๆ ที่คุณอาจมีต่อเจ้าหน้าที่ที่น่าจะเป็นสมรู้ร่วมคิดกับอาชญากร
ผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านนิติเวชวิทยา
ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้บอกได้ว่าเอกสารที่ได้รับมาเป็นของจริงหรือไม่ และให้มุมมองต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องเฉพาะทางได้ เช่น ความน่าเชื่อถือของกระบวนการหาและได้มาซึ่งหลักฐานทางพันธุกรรมของรัฐบาล
การเปิดโปงของ ProPublica เผยให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ปราบปรามยาเสพติดของสหรัฐอเมริกาก่อให้เกิดการสังหารหมู่ในเม็กซิโกได้อย่างไร (ที่มา: Screenshot)
กรณีศึกษา
สหรัฐอเมริกาเป็นผู้จุดชนวนเหตุสังหารหมู่ในเม็กซิโกได้อย่างไร
โครงการ ProPublica ในปี 2017 นี้บอกเล่าเรื่องราวการสังหารหมู่ที่เกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดในเมืองอาเลนเดของประเทศเม็กซิโก และคนหลายสิบคนกลายเป็นบุคคลสูญหายในท้ายที่สุด ระหว่างที่ผู้เขียนรายงานชิ้นนี้เดินทางเข้าไปในพื้นที่หลายครั้งเพื่อสร้างความเชื่อใจ ผู้เขียนได้พูดคุยกับเหยื่อและพยาน พร้อมทั้งรวบรวมข้อมูลการโทรหาเบอร์ 911 และข้อมูลเอกสารทางการอื่นๆ รายงานข่าวชิ้นนี้ทำให้เม็กซิโกและสหรัฐอเมริกาเริ่มต้นการค้นหาความจริงอีกครั้งว่าเกิดอะไรขึ้น มีผู้สูญหายกี่คน และเรื่องราวของพวกเขาเป็นอย่างไร
องค์กรนอกภาครัฐที่ไม่แสวงหาผลกำไรแห่งหนึ่งพานักข่าวของสำนักข่าว AP ไปยังเกาะอันห่างไกลแห่งหนึ่งของประเทศอินโดนีเซียที่มีแรงงานกว่า 2,000 คนถูกเอาลงไปเป็นทาส โดยที่ครอบครัวของพวกเขาไม่รู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ใด นักข่าวสัมภาษณ์และติดตามคนที่ได้เดินทางกลับบ้าน รวมถึงเขียนเรื่องราวของหลุมฝังศพนิรนามที่คนตายถูกฝังโดยใช้ชื่อปลอม การสืบสวนสอบสวนนี้ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ในปี 2016 ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลอินโดนีเซียเข้าช่วยเหลือคนงานที่ตกเป็นทาสและควบคุมตัวผู้คุมคนงานทาสบางส่วนในทันที
ไปไม่กลับ: เบื้องหลังการค้นหาที่เสี่ยงอันตรายของครอบครัวเพื่อเปิดโปงความจริง
ข่าวสืบสวนสอบสวนชิ้นนี้ของสำนักข่าวโกลบแอนด์เมล (Globe and Mail) ในปี 2020 เป็นการเล่าเรื่องของครอบครัวชาวเม็กซิกัน 9 ครอบครัว ทั้ง 9 ครอบครัวนี้พบคนที่พวกเขารักอยู่ในหลุมฝังศพนิรนามซึ่งตั้งอยู่บริเวณชานเมืองเวราครูซ เมืองท่าของประเทศเม็กซิโก ทีมดิจิทัลของสำนักข่าวดังกล่าวสร้างแบบจำลอง 3 มิติของหลุมศพ นำมาประกอบกับรูปภาพของภูมิประเทศ และคำให้การของอาสาสมัครที่ขุดพบศพดังกล่าว ซึ่งการทำเช่นนี้ช่วยทำให้เห็นภาพขนาดของพื้นที่ได้ชัดเจนขึ้น
เคล็ดลับและเครื่องมือ
รีบลงมือ แต่ระมัดระวังไว้ก่อน
เป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องหาข้อมูลช่วง 2-3 ชั่วโมงแรกหลังการหายตัวไปมาให้ได้ เหยื่ออาจทิ้งเบาะแสสำคัญไว้บนโซเชียลมีเดีย ผ่านข้อความตัวอักษร หรืออาจมีพยานและภาพจากกล้องวงจรปิดจากบ้านหรือร้านค้าในละแวกใกล้เคียง หรือคนที่บังเอิญเดินผ่านไปผ่านมาแถวนั้นอาจถ่ายภาพที่น่าสนใจเอาไว้ อย่าลืมว่าถ้าคุณสามารถเข้าถึงภาพในกล้องวงจรปิดได้ คุณก็จะมีหลักฐาน แต่คุณไม่ใช่ตำรวจ ดังนั้น คุณจึงสามารถคัดลอกบันทึกต้นฉบับด้วยโทรศัพท์ของคุณได้ แต่คุณไม่ควรเก็บไฟล์ต้นฉบับไว้กับคุณ
ใช้เทคโนโลยีหาพิกัดตำแหน่ง
ทันทีที่คุณได้รับอนุญาตและความร่วมมือจากครอบครัว คุณอาจลองยืนยันดูว่าเหยื่อใช้โทรศัพท์ของเขาอยู่หรือไม่ ขณะเดียวกัน เครื่องมือหาพิกัดภูมิศาสตร์ชนิดอื่นๆ อาจนำมาใช้ด้วยได้ นอกจากนี้ คุณอาจเห็นว่าเหยื่อรับสายก่อนหรือหลังการหายตัวไป โดยปกติแล้วรัฐบาลสามารถขอข้อมูลการลงทะเบียนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการสืบสวนสอบสวน สามารถค้นหาเสาสัญญาณสื่อสารทางไกลในบริเวณใกล้เคียง และบอกแนวโน้มรัศมีของตำแหน่งได้ และในบางประเทศ ครอบครัวของเหยื่อสามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้ ส่วนนักข่าวก็สามารถเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวผ่านครอบครัวของเหยื่อได้อีกทอดหนึ่ง
ใช้กูเกิลเอิร์ธ กูเกิลสตรีทวิว และภาพถ่ายจากดาวเทียม
เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้นักข่าวเห็นพื้นที่ที่เข้าถึงได้ยากหรืออยู่ในการควบคุมของอาชญากร เช่น ภาพกูเกิลสตรีทวิวในเมืองฮัวเรซ ประเทศเม็กซิโก เมื่อปี 2009 พบหญิงวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งที่ต่อมาหายตัวไปยืนอยู่นอกโรงแรม โดยมีผู้หญิงอีกหลายสิบคนตกเป็นเป้าหมายของการถูกลักลอบพาไปค้าประเวณี นอกจากนี้ โดรนก็เป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่ใช้การได้ แต่คุณต้องประเมินความเสี่ยงว่าสถานที่นั้นๆ อยู่ในการควบคุมของอาชญากรด้วยหรือไม่
ตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารและคำแถลงต่างๆ
แม้แต่ข้อมูลด้านนิติวิทยาศาสตร์หรือข้อมูลจากรัฐบาลที่ได้มาผ่านแพลตฟอร์มเพื่อความโปร่งใสหรือการสัมภาษณ์ก็อาจเป็นความเท็จได้ จงระลึกไว้ว่าข้อมูลของทางการที่คุณเข้าถึงได้อาจถูกบิดเบือนโดยตั้งใจได้เช่นกัน เมื่อไรก็ตามที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือมีการทุจริต อย่าลืมหาผู้เชี่ยวชาญที่สามารถช่วยวิเคราะห์หรือตรวจสอบความถูกต้องของหลักฐานและข้อมูลด้านนิติวิทยาศาสตร์อยู่เสมอ
การสืบสวนเกี่ยวกับการหายตัวไปอาจนำมาซึ่งความทุกข์ใจ ความกระอักกระอ่วนใจ และอาจก่อให้เกิดอันตรายได้
“ตกเหยื่อ” เพื่อหาข้อมูลและรอคอย
ในบางกรณี การตีพิมพ์ข้อค้นพบเบื้องต้นเพื่อดึงดูดแหล่งข่าวใหม่และ “ตกเหยื่อ” เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมก็อาจคุ้มค่าน่าทำ หากรับรู้โดยทั่วกันแล้วว่าการสอบสวนกำลังดำเนินอยู่ บางคนอาจมีแรงจูงใจมากพอและออกมาพูดอะไรบางอย่าง
ดำเนินการด้วยความระมัดระวังเมื่อคนที่ถูกคาดว่าเป็นเหยื่อถูกพบแล้ว
แม้ว่าเสื้อผ้า รอยสัก หรือเอกสารส่วนบุคคลของบุคคลที่ถูกทำให้สูญหายจะตรงกันกับศพที่ค้นพบ แต่อย่าเพิ่งด่วนสรุป เพราะการเผยแพร่ข้อมูลเหล่านี้ออกไปโดยยังไม่มีการยืนยันพันธุกรรม หรือได้รับการพิสูจน์จากผู้เชี่ยวชาญ จะเป็นการทำร้ายครอบครัวและเป็นการทรยศต่อความเชื่อใจที่พวกเขามีต่อคุณ
ความมั่นคงทางดิจิทัล กาย และใจ
คุณต้องกำหนดแนวทางสำหรับความมั่นคงทางกาย จิตใจ และดิจิทัล จงรู้ว่าคุณควรสื่อสารกับแหล่งข่าวของคุณและต้องปกป้องข้อมูลที่ละเอียดอ่อนอย่างไร
การสืบสวนเกี่ยวกับการหายตัวไปอาจนำมาซึ่งความทุกข์ใจ ความกระอักกระอ่วนใจ และอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ เรื่องราวที่เกิดขึ้นอาจเกี่ยวข้องกับภาพศพ การทารุณกรรม และการสัมภาษณ์คนที่มีบาดแผลทางจิตใจ สิ่งสำคัญคือการมีเครือข่ายสนับสนุนที่คุณเชื่อใจ มีกิจวัตรดูแลตนเอง และเข้ารับการบำบัดในกรณีที่มีความซับซ้อน
บทสรุป
การสืบสวนบุคคลสูญหายไม่ใช่ความท้าทายเล็กๆ น้อยๆ เพราะความรุนแรงที่ถูกทำให้กลายเป็นเรื่องทั่วๆ ไป และผู้กระทำผิดมักลอยนวลอยอยู่บ่อยครั้ง หน้าที่ของนักข่าวแต่ละคนคือการนึกถึงผลกระทบต่อคนที่ถูกสัมภาษณ์และเหยื่อ ซึ่งจะตามมาหลังเผยแพร่หรือถ่ายทอดเรื่องราวนั้นๆ ออกไป นอกจากนี้ เมื่อแหล่งข่าวเปิดปากพูดคุยกับนักข่าว นักข่าวต้องประเมินว่ามีความเสี่ยงอะไรบ้างอย่างระมัดระวัง สอบถามว่าแหล่งข่าวพร้อมที่จะแบกรับความเสี่ยงเหล่านั้นหรือไม่ และจะลดความเสี่ยงเหล่านั้นลงอย่างไร
ลำดับความสำคัญของคุณคือการทำให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่มีค่าพร้อมกับการทำให้มั่นใจว่าเหยื่อจะไม่ถูกซ้ำเติมโดยงานของคุณ จำไว้เสมอว่าคุณต้องทำให้แหล่งข่าว การสืบสวน และตัวคุณเองปลอดภัย
ที่มา:
มาร์เซลา ตูราตี เป็นนักข่าวสืบสวนสอบสวนฟรีแลนซ์ที่รายงานข่าวเกี่ยวกับสงครามปราบปรามยาเสพติดในเม็กซิโก เธอเป็นผู้ร่วมก่อตั้งเครือข่ายนักข่าวเดินเท้า (Periodistas de a Pie) และสมาชิกผู้ก่อตั้งโครงการรายงานข่าวควินโตเอลเมนโตแล็บ เธอเป็นผู้ได้รับทุนการศึกษาจากมูลนิธินีแมนและได้รับรางวัลลูอิส เอ็ม ลีออนส์ ด้านมโนธรรมสำนึกและความซื่อสัตย์ในการรายงานข่าวในปี 2013 และรางวัลมาเรีย มอร์ส คาบอต ในปี 2019
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)