Skip to main content
sharethis

21 ส.ค. 2563 อดีตคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และผู้ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนร่วมกันออกแถลงการณ์ขอให้เคารพสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ยุติการคุกคาม และการดำเนินคดีอาญาต่อนักเรียน นิสิตนักศึกษา และประชาชน จากสถานการณ์การชุมุนมที่ผ่านมา

แถลงการณ์ระบุว่า ปัจจุบันสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองไทยรุนแรงขึ้น และประชาชนที่ออกมาใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออกอย่างสันติ เพื่อเรียกร้องให้มีการปฏิรูปการเมือง ถูกมองว่าเป็นผู้เห็นต่างจากรัฐ และถูกคุกคามโดยกฎหมาย รัฐบาลควรมีหน้าที่เอื้ออำนวยให้การชุมนุมเป็นไปโดยสงบ ปกป้องคุ้มครองผู้ร่วมชุมนุมจากการถูกคุกคามทุกรูปแบบที่อาจเกิดขึ้น และต้องดำเนินมาตรการที่จำเป็นในการคุ้มครองเด็กทุกคนจากความรุนแรงทั้งทางวาจา และการใช้ความรุนแรงที่เกิดจากอคติ

แถลงการณ์ ขอให้เคารพสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ยุติการคุกคาม และการดำเนินคดีอาญาต่อนักเรียน นิสิตนักศึกษา และประชาชน

ภายหลังรัฐประหาร พ.ศ. 2557 ได้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองรอบใหม่ แม้ต่อมารัฐบาลจะได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 และให้มีการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย แต่รัฐบาลก็ยังคงถูกมองว่าพยายามสืบทอดอำนาจโดยรัฐธรรมนูญเปิดโอกาสให้นายกรัฐมนตรีไม่ต้องมาจากการเลือกตั้ง โดยได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) รวมถึงการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่ประชาชนโดยเฉพาะเยาวชน นิสิตนักศึกษามองว่าเป็นการปิดกั้นการวางแผนอนาคตของคนรุ่นใหม่ อีกทั้งไม่สอดคล้องกับสถานการณ์โลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง

ปัจจุบันสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองของไทยทวีความรุนแรงขึ้น เยาวชน นักเรียน นิสิตนักศึกษาที่ออกมาใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออกอย่างสันติ เพื่อเรียกร้องให้มีการปฏิรูปการเมือง ถูกมองว่าเป็นผู้เห็นต่างจากรัฐ และมักถูกคุกคามในรูปแบบต่างๆกันโดยเฉพาะการถูกคุกคามโดยกฎหมาย (Judicial Harassment) จนนำมาสู่ข้อเรียกร้องให้รัฐบาลยุติการคุกคาม แก้รัฐธรรมนูญเพื่อเปิดโอกาสให้มีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากประชาชน และยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ให้ประเทศไทยคืนสู่ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข หากแต่ข้อเรียกร้องเหล่านี้ถูกตีความบิดเบือน และอาฆาตมาดร้ายจากคนบางคนบางกลุ่มว่าข้อเรียกร้องของเยาวชนเป็นความพยายาม “ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์” ซึ่งการตีความลักษณะนี้อาจนำไปสู่ความขัดแย้งและการใช้ความรุนแรงในสังคมไทยมากขึ้น

ในฐานะผู้ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนซึ่งติดตามสถานการณ์ทางการเมืองอย่างใกล้ชิด พวกข้าพเจ้าตามรายนามแนบท้าย มีความห่วงกังวลอย่างยิ่งต่อสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน และมีความเห็นว่าสิทธิในการชุมนุมโดยสงบ รวมถึงเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นที่เกี่ยวข้องกับสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนทุกคนในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลมีหน้าที่เอื้ออำนวยให้การชุมนุมเป็นไปโดยสงบ และปกป้องคุ้มครองผู้ร่วมชุมนุมจากการถูกคุกคามทุกรูปแบบที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะผู้ชุมนุมที่เป็นเด็กและเยาวชน รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพึงตระหนักว่าเด็กทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกโดยปราศจากความกลัว เด็กมีสิทธิที่จะมีส่วนร่วมทั้งทางการเมืองและสังคมที่เกี่ยวข้องกับพวกเขา และรัฐต้องดำเนินมาตรการที่จำเป็นในการคุ้มครองเด็กทุกคนจากความรุนแรงทั้งทางวาจา และการใช้ความรุนแรงที่เกิดจากอคติ

พวกข้าพเจ้ามีความห่วงใยอย่างยิ่งว่าสถานการณ์ความขัดแย้งที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันอาจลุกลามบานปลายจนนำไปสู่การใช้ความรุนแรงดังที่เคยปรากฏในอดีต จึงมีข้อเสนอแนะต่อรัฐบาล และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ดังนี้

1. รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเคารพและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองและการแสดงออกอย่างสันติของ นักเรียน นิสิตนักศึกษา และประชาชน และยุติการคุกคามทุกรูปแบบทั้งการเฝ้าติดตาม สอดแนม รวมถึงการคุกคามทางกฎหมายด้วยการฟ้องร้องดำเนินคดีต่อผู้เห็นต่างจากรัฐ

2. รัฐบาลควรแก้ปัญหาความขัดแย้งทางความคิดของคนในชาติ โดยนำหลักรัฐศาสตร์มาเป็นแนวทางในการแก้ปัญหา มากกว่ามองว่าใครผิดใครถูกและใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดต่อผู้เห็นต่างจากรัฐ ซึ่งอาจนำไปสู่การสร้างความขัดแย้ง ความเกลียดชัง และความไม่ไว้วางใจรัฐมากยิ่งขึ้น

3. ในส่วนข้อเสนอของผู้ชุมนุมเรื่องการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญ เนื่องจากการแสดงความคิดเห็นที่อยู่ในกรอบกฎหมายและรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่การกระทำอันเป็นการละเมิดหรือล้มล้างสถาบัน หากแต่เป็นการนำเสนอเพื่อตั้งคำถามที่จะนำไปสู่การปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ดำรงอยู่กับสังคมไทยอย่างสง่างาม ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รัฐบาลและภาคประชาสังคมทุกฝ่ายจึงควรรับฟังซึ่งกันและกันด้วยขันติและอหิงสาธรรม และไม่ควรนำประเด็นนี้ไปใช้ในการปลุกระดมให้คนไทยเกลียดชังกัน ซึ่งสุดท้ายอาจนำไปสู่การใช้ความรุนแรงของคนในชาติ

4. รัฐบาลและรัฐสภาควรเร่งดำเนินการในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ก่อนยุบสภาเพื่อให้เป็นไปตามข้อเสนอของนักเรียน นิสิตนักศึกษาและประชาชน ซึ่งสอดคล้องกับมติของพรรคการเมืองทั้งฝ่ายรัฐบาล และพรรคฝ่ายค้าน ทั้งนี้กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญ ต้องเน้นการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการแสดงความคิดเห็นและตัดสินใจ และจัดตั้งสภาสภาร่างรัฐธรรมนูญที่ประกอบด้วยประชาชนทุกภาคส่วน เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองอันเนื่องมาจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560

5. รัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการควรดำเนินมาตรการที่จำเป็นในการคุ้มครองการใช้สิทธิเสรีภาพของเด็กตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กขององค์การสหประชาชาติ โดยให้เด็กมีส่วนร่วมในทุกกิจการที่ส่งผลกระทบต่อเด็ก โรงเรียนต้องเป็นพื้นที่ปลอดภัยในการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออกทางการเมือง และรับประกันว่าจะต้องไม่มีการลงโทษเด็กด้วยความรุนแรงทุกรูปแบบ กรณีเด็กทำผิดกฎหมาย ต้องมีการประกันว่าเด็กและเยาวชนทุกคนจะได้รับความช่วยเหลืออย่างเหมาะสมตามกระบวนการกฎหมายที่เกี่ยวกับเด็กและเยาวชน

ทั้งนี้ หวังอย่างยิ่งว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันจะทำให้คนไทยทุกคนจะได้ตระหนักถึงคุณค่าของการร่วมทุกข์ร่วมสุขกันบนพื้นฐานของความแตกต่างทางความคิด มีความอดทนอดกลั้นและยืดหยุ่นต่อกัน เพื่อเป็นการพัฒนาประชาธิปไตยในประเทศไทยสืบไป

ลงชื่อ

1. วสันต์ พานิช
2. สุนี ไชยรส
3. นัยนา สุภาพึ่ง
4. นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ
5. เตือนใจ ดีเทศน์
6. อังคณา นีละไพจิตร

สแกน QR Code เพื่อร่วมบริจาคเงินให้กับประชาไท

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net