เครือข่ายสิทธิมนุษยชนพม่า (BHRN) เปิดตัวรายงาน "พลเมืองที่ถูกลืม" ชี้แรงงานข้ามชาติชาวพม่าเชื้อสายมุสลิมถูกเลือกปฏิบัติจากนโยบายสัญชาติของทางการพม่า โดยมีชาวพม่ามุสลิมจำนวนมากไม่สามารถยื่นขอหนังสือสำคัญประจำตัว หรือ CI ได้ ซึ่งทำให้พวกเขาไม่สามารถขอจดทะเบียนแรงงานข้ามชาติจากทางการไทยที่กำลังจะถึงเส้นตาย 30 มิถุนายนนี้ได้ โดย BHRN เรียกร้องรัฐบาลพม่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เป็นประชาธิปไตย นับรวมชนกลุ่มน้อยในประเทศ ยุติบทบาทกองทัพ และขอทางการไทยจัดทำใบอนุญาตทำงานชั่วคราวให้แก่แรงงานข้ามชาติที่อยู่ในไทยอยู่แล้ว
เครือข่ายสิทธิมนุษยชนพม่า (Burma Human Rights Network - BHRN) แถลงข่าวและเผยแพร่รายงาน "พลเมืองที่ถูกลืม" (Existence Denied) เมื่อวันที่ 26 มิถุนายนที่ผ่านมาที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (FCCT) โดยเปิดเผยว่ายังคงมีแรงงานข้ามชาติชาวพม่าเชื้อสายมุสลิมที่ไม่สามารถยื่นขอหนังสือสำคัญประจำตัว (Certificate of Identity - CI) จากศูนย์พิสูจน์สัญชาติของทางการพม่า ซึ่งทำให้พวกเขาได้รับผลกระทบในขั้นตอนจดทะเบียนแรงงานข้ามชาติ การยื่นขอใบอนุญาตทำงานของทางการไทยที่กำลังจะถึงเส้นตาย 30 มิถุนายนนี้ (อ่านรายงานฉบับเต็ม)
หน้าแรกของรายงาน "พลเมืองที่ถูกลืม" ของเครือข่าย BHRN
จ่อวิน ผู้อำนวยการเครือข่าย BHRN แถลงว่า ที่เรียกรายงานฉบับนี้ว่า "พลเมืองที่ถูกลืม" (Existence Denied) ก็เพราะชาวพม่าเชื้อสายมุสลิมที่แม้จะเกิด เติบโต และมีบรรพบุรุษอยู่ในพม่า แต่พวกเขากลับถูกโดดเดี่ยวและถูกปฏิเสธการมีตัวตนจากนโยบายสัญชาติ และการเลือกปฏิบัติของรัฐบาลพม่า
โดยในรายงาน "พลเมืองที่ถูกลืม" เครือข่าย BHRN ได้เก็บข้อมูลระหว่างเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม พ.ศ. 2561 สัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่าง 36 ครอบครัวแรงงานข้ามชาติชาวพม่าเชื้อสายมุสลิมใน 4 พื้นที่ชายแดนด้าน อ.แม่สอด จ.ตาก โดยเน้นสัมภาษณ์สมาชิกครอบครัวที่เป็นผู้หญิง ซึ่งในระยะหลังพวกเขาเป็นผู้ที่เป็นปากเสียง และมีบทบาทในชุมชนในการทำเรื่องเอกสาร เรื่องสัญชาติ
สำหรับภูมิลำเนาของกลุ่มสำรวจครอบครัวชาวพม่ามุสลิม 34 ใน 36 ครอบครัวมาจากรัฐกะเหรี่ยง รัฐมอญ และภาคย่างกุ้ง โดยมีเพียง 2 ครอบครัวที่ระบุว่ามาจากรัฐยะไข่ ซึ่งปัจจุบันเป็นพื้นที่ประสบวิกฤตมนุษยธรรมกรณีผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญามุสลิม
โดยรายงานของ BHRN พบว่ากลุ่มตัวอย่างที่สำรวจ 78% ไม่มีเอกสารแสดงความเป็นพลเมืองที่ออกให้โดยรัฐบาลพม่า ทั้งที่ทุกคนเกิดในพม่ามาหลายรุ่น มีเพียง 3% ที่ถือบัตรประชาชนพม่า และอีก 19% ถือบัตรพิสูจน์สัญชาติหรือ (tri-fold) ที่ออกให้พลเมืองผู้อาศัยและพลเมืองแปลงสัญชาติ
กฎหมายสัญชาติยุครัฐบาลทหารพม่า ต้นเหตุกีดกัน-เลือกปฏิบัติ
ทั้งนี้ตามกฎหมายสัญชาติของพม่าฉบับที่มีการบังคับใช้ในปี พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982) สมัยรัฐบาลทหารของนายพลเนวิน กำหนดสถานะประชากรเป็น 1. พลเมืองพม่า 2. พลเมืองผู้อาศัย และ 3. พลเมืองแปลงสัญชาติ โดยผู้ที่จะถือเป็นพลเมืองพม่าจะต้องมีพ่อแม่เป็นพลเมืองพม่า หรือมีชาติพันธุ์ 1 ใน 135 ชาติพันธุ์ที่พม่ารับรอง คุณสมบัติอื่นคือสามารถพิสูจน์ได้ว่าบรรพบุรุษอยู่ในพม่าก่อนปี พ.ศ. 2367 (ค.ศ.1824) หรือก่อนสงครามพม่า-อังกฤษครั้งที่ 1 ที่ทำให้ราชวงศ์คองบองสูญเสียดินแดนมณีปุระ อาระกัน และตะนาวศรี
ขณะที่ประชากรกลุ่ม 2. พลเมืองผู้อาศัย และ 3. พลเมืองแปลงสัญชาติ ภายใต้กฎหมายสัญชาติ 1982 พวกเขาจะถูกจำกัดสิทธิหลายประการ โดยไม่สามารถรับราชการ ไม่สามารถเรียนในวิทยาลัยแพทย์และวิศวกรรมศาสตร์ได้ โดยส่วนมากประชากรพม่าที่บรรพบุรุษมาจากอินเดียและจีนจะถูกจัดให้อยู่ในประชากรกลุ่มนี้
จ่อวิน ผู้อำนวยการเครือข่าย BHRN ยังกล่าวด้วยว่า "สิ่งนี้เกิดขึ้นดังกล่าวเกิดขึ้นทั่วไปในพม่า และเป็นยุทธศาสตร์ของรัฐบาลพม่า ก่อให้เกิดผลกระทบกับประเทศเพื่อนบ้าน และจะทำให้เกิดคนไร้รัฐไร้สัญชาติ และผู้อพยพเกิดขึ้นจำนวนมากในประเทศเพื่อนบ้านที่ติดกับพม่า"
ในรายงานสรุปของเครือข่าย BHRN อ้างความเห็นของผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายไทยท่านหนึ่งที่อธิบายถึงวิกฤตการณ์นี้ว่า "ในอนาคต เราจะยังคงต้องเจอคนไร้สัญชาติกลุ่มนี้ต่อไป อีกหลายชั่วอายุคน"
เครือข่าย BHRN ยังค้นพบหลักฐานความไร้สัญชาติของแรงงานข้ามชาติชาวพม่ามุสลิมกลุ่มนี้ว่าเป็นเหมือนมรดกที่ถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น ตอนนี้หลายคนที่ยังไม่ได้รับการรับรองสถานะทางกฎหมายนั้น อย่างน้อยเป็นคนรุ่นที่สองของครอบครัวที่กำลังประสบปัญหาความไร้สัญชาติอยู่ แรงงานข้ามชาติชาวพม่ามุสลิมส่วนใหญ่ที่ทาง BHRN สัมภาษณ์กล่าวว่า ลูกของพวกเขาไม่มีบัตรประชาชนของทั้งพม่าและไทย พวกเขาอาจจะเป็นรุ่นที่สามของครอบครัวที่ถูกบังคับให้อยู่อย่างไร้สัญชาติ ทั้งที่ไม่ใช่ความผิดของพวกเขา เว้นแต่จะมีการดำเนินมาตรการต่างๆ โดยรัฐบาลของประเทศใดประเทศหนึ่งเพื่อรับรองพวกเขา
เมื่อไม่นานมานี้ ประเทศไทยกำหนดให้แรงงานข้ามชาติที่ทำงานในประเทศจำนวน 1 ถึง 2 ล้านคน พิสูจน์สัญชาติโดยเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองประเทศพม่า โดยพวกเขาจะได้รับ "หนังสือสำคัญประจำตัว" (CI) และใบอนุญาตทำงานที่ออกให้โดยกรมจัดหางานของไทยภายหลัง
อย่างไรก็ตามชาวพม่าเชื้อสายมุสลิมแจ้งกับเครือข่าย BHRN ว่า เมื่อพวกเขายื่นขอหนังสือสำคัญประจำตัว (CI) ต่อศูนย์พิสูจน์สัญชาติของทางการพม่า พวกเขาจำเป็นต้องพิสูจน์รากเหง้าในพม่า โดยต้องยื่นเอกสารเพิ่มเติม ซึ่งมากกว่าเอกสารที่เจ้าหน้าที่เรียกจากพลเมืองพม่ากลุ่มอื่น นอกจากนั้นหลายคนแจ้งกับเครือข่าย BHRN ว่าเมื่อพวกเขาพยายามพิสูจน์สัญชาติของพวกเขาตามกฎหมายว่าด้วยแรงงานข้ามชาติฉบับปัจจุบัน เจ้าหน้าที่บอกพวกเขาว่า "เราไม่ให้หนังสือสำคัญประจำตัว (CI) แก่ชาวมุสลิม" โดยกรณีศึกษาของ BHRN พบว่าชาวพม่ามุสลิมถูกปฏิเสธการขอหนังสือสำคัญประจำตัว (CI) สูงกว่าสองเท่า เมื่อเทียบกับจำนวนชาวพม่ามุสลิมที่ได้รับการรับรองหนังสือ CI
ทั้งนี้หลังพ้นเส้นตาย 30 มิถุนายน 2561 ที่เป็นวันสุดท้ายของการจดทะเบียนแรงงานข้ามชาติ ผู้ที่ไม่สามารถดำเนินตามกระบวนการนี้ได้ตามเวลาที่กำหนด จะถูกพิจารณาว่าเข้ามาทำงานในประเทศไทยผิดกฎหมาย หากจับได้จะต้องเสียค่าปรับตั้งแต่ 5,000 ถึง 50,000 บาท ซึ่งเป็นค่าปรับที่สูง เมื่อเทียบกับค่าจ้างขั้นต่ำรายเดือนของแรงงานที่ไม่มีเอกสารประจำตัวที่ได้เพียงเดือนละ 8,000 บาท และนอกจากค่าปรับแล้ว แรงงานข้ามชาติที่ขาดเอกสารที่ราชการไทยออกให้จะถูกเนรเทศและห้ามไม่ให้ยื่นขอใบอนุญาตทำงานในประเทศไทยเป็นเวลา 2 ปี
BHRN เปิดเผยด้วยว่า แม้จะเกิดภัยคุกคามที่รุนแรงขึ้นจากการปราบปรามโดยเจ้าหน้าที่ แต่ชาวพม่ามุสลิมเกือบทั้งหมดที่ให้ข้อมูลกับ BHRN ได้สัมภาษณ์กล่าวว่าพวกเขาอยากอยู่ในประเทศไทยมากกว่าที่จะเดินทางกลับประเทศภูมิลำเนาของพวกเขา เพราะกองทัพยังคงมีบทบาทในประเทศ ในอดีตกองทัพพม่าได้กีดกันสิทธิพื้นฐานและความต้องการของกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์และศาสนามาโดยตลอด และสิ่งเหล่านั้นยังคงดำเนินต่อไปภายใต้รัฐบาลกลางที่นำโดยอองซานซูจี
ในรายงานสรุปของ BHRN ยังเรียกร้องให้รัฐบาลพม่านำข้อเสนอเกี่ยวกับสิทธิการเป็นพลเมืองตามบรรทัดฐานสิทธิมนุษยชนและรัฐธรรมนูญใหม่ที่เป็นประชาธิปไตยมาใช้เพื่อกำจัดทหารออกจากทุกบทบาททางการเมืองภายในประเทศ คนชายขอบในพม่าส่วนใหญ่จะต้องต่อสู้เพื่อให้มีชีวิตอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีทั้งในและนอกประเทศพม่าต่อไป
ข้อเสนอจากรายงาน
"พลเมืองที่ถูกลืม" (Existence Denied)
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)