ชาวบ้านนาหนองบง ขึ้นศาลเป็นโจทก์ฟ้องกลับบริษัททุ่งคำฯ หลังศาลพิพากษายกฟ้องคดี เหมืองฟ้องหมิ่นประมาท กรณีชาวบ้านทำป้ายติดในหมู่บ้านว่า หมู่บ้านนี้ไม่เอาเหมือง" - ปิดเหมืองฟื้นฟู" ด้านขบวนการอีสานใหม่ออกแถลงการณ์ครบรอบ 3 วัน “วันขนแร่เถื่อน”
ภาพจาก นักข่าวพลเมือง Thai PBS
15 พ.ค. 2560 นักข่าวพลเมือง Thai PBS รายงานว่า เวลา 09.00 น. ชาวบ้านกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด 6 หมู่บ้าน ต.เขาหลวง อ.วังสะพุง จ.เลย เดินทางไปที่ศาลจังหวัดเลย ในคดีตัวแทนชาวบ้านกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดฯ 6 คน ฟ้องกลับต่อบริษัท ทุ่งคำ จำกัด จากคดีที่บริษัทฯ ได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายชาวบ้าน 50 ล้านบาท กรณีการทำป้าย "หมู่บ้านนี้ไม่เอาเหมือง" ที่ซุ้มประตูทางเข้าหมู่บ้าน และป้าย "ปิดเหมืองฟื้นฟู" ริมถนนสาธารณะในหมู่บ้าน .
ต่อมาเวลา 11.00 น. ศาลนัดไกล่เกลี่ยโจทก์และจำเลย และเปิดให้จำเลยยื่นคำให้การ แต่ในวันนี้จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลเลื่อนสั่งสืบพยานฝ่ายโจทก์ โดยให้ฝ่ายโจทก์ทำบันทึกคำให้การมา และนัดสืบเฉพาะแค่โจทก์ 6 คน ในวันที่ 20 มิ.ย. 2560
ส.รัตนมณี พลกล้า ผู้ประสานงานมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน ทนายความของโจทก์ระบุว่า การที่ทางฝ่ายจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ หมายความว่าจำเลยไม่มีสิทธิที่จะมาโต้แย้งในภายหลัง
คดีดังกล่าว สืบเนื่องจากเหตุการณ์เมื่อปี 2558 ชาวบ้านได้ร่วมกันทำซุ้มประตูหมู่บ้านและได้เขียนข้อความดังกล่าวติดโดยรอบหมู่บ้าน ถือเป็นกิจกรรมรณรงค์ร่วมกันของคนในชุมชน แต่ถูกทางบริษัท ทุ่งคำ จำกัดกล่าวหาว่า การกระทำของจำเลย 6 คน ซึ่งเป็นสมาชิกกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด 6 หมู่บ้าน จงใจละเมิดต่อบริษัทฯ ทำให้ได้รับความเสียหาย จึงเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินจำนวน 50 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5 ต่อปี จากเงินต้น และให้รื้อถอนป้ายดังกล่าว
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 30 มี.ค. 2559 ศาลได้มีคำพิพากษายกฟ้อง โดยมีคำวินิจฉัยว่า การกระทำของชาวบ้านดังกล่าวไม่มีการปิดล้อมเหมือง และไม่ได้ขัดขวางการดำเนินงานของโจทก์ แต่กลับเป็นเพียงข้อเรียกร้องการแก้ปัญหา จึงเป็นการแสดงความเห็นและเสนอไปยังหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ที่มีอำนาจแก้ใจปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชน นับได้ว่าเป็นการกระทำโดยชอบธรรม ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม อันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำได้ เป็นการแสดงความเห็นโดยสุจริต จึงไม่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตและไม่เป็นการละเมิดโจทก์ อย่างไรก็ตามบริษัทได้ยื่นอุทธรณ์ เมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2559
ต่อมาเมื่อวันที่ 9 พ.ค. 2560 ศาลอุทธรณ์ภาค 4 มีคำพิพากษาระบุว่า การกระทำของจำเลยทั้ง 6 คนไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน ให้โจทก์ชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยทั้ง 6 คน โดยกำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้รวม 300,000 บาท
ตัวแทนชาวบ้านรายหนึ่งกล่าวว่า ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ชาวบ้านกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดฯ ฟ้องกลับบริษัทน เพราะที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ฟ้องร้องคดีทั้งแพ่งและอาญาต่อชาวบ้านหลายสิบคดี ซึ่งส่วนใหญ่ฟ้องเสมือนกลั่นแกล้งหรือแกล้งฟ้องให้ชาวบ้านเสียเวลา เสียค่าใช้จ่าย เสียขวัญกำลังใจและเสียความรู้สึก การที่ชาวบ้านฟ้องกลับย่อมมีความหมายที่สำคัญในสิทธิโดยสุจริตใจของชาวบ้านในการปกป้องและรักษาบ้านเจ้าของ
ขณะเดียวกัน ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจขบวนการอีสานใหม่ ได้ออกแถลงการณ์ ครบรอบ 3 ปีวันขนแร่เถื่อน 15 พฤษภาคม โดยขอประนามการกระทำของผู้อยู่เบื้องหลังและรู้เห็นเหตุการณ์ดังกล่าว โดยมีรายละเอียดดังนี้
แถลงการณ์ขบวนการอีสานใหม่ กลางดึกวันที่ 15 พฤษภาคม เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ณ บ้านนาหนองบง ต.เขาหลวง อ.วังสะพุง จ.เลย ประเทศไทย ได้เกิดเหตุการณ์โหดร้ายป่าเถื่อนโดยกลุ่มชายฉกรรจ์ใส่หมวกอีโม่งพร้อมอาวุธครบมือ จำนวนสองร้อยกว่าคน บุกจู่โจมจับชาวบ้านมัดมือมัดเท้า ทุบตีทำร้ายชาวบ้านที่พยายามต่อสู้เพียงเพื่อต้องการขนสินแร่ ที่อยู่ในเหมืองทองคำซึ่งดำเนินการโดยบริษัททุ่งคำ จำกัด โดยที่ชาวบ้านไม่ได้รับการปกป้องดูแลจากหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องแต่อย่างใด มิหนำซ้ำยังถูกกระทำจากบุคคลซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐเสียเอง นับเป็นเหตุการณ์ที่น่าอัปยศของสังคมที่อ้างตนว่าเป็นคนดีและมีประชาธิปไตยยิ่งนัก ในนามขบวนการอีสานใหม่ขอประนามการกระทำของผู้อยู่เบื้องหลังและรู้เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ทุกคน และประกาศถึงเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ว่าจะเป็นทหาร ตำรวจ และรัฐบาลที่มาจากการปล้นชิงอธิปไตยของประชาชนว่า เราจะยืนหยัดต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่พี่น้องสามัญชนที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสจากการกระทำอันป่าเถื่อนของทั้งเจ้าหน้าที่รัฐหรือบริษัทนายทุนต่างๆ และไม่ยอมให้ใครมาปล้นชิงทรัพยากรธรรมชาติของประชาชน โดยเอื้อประโยชน์เข้าตัวเองและพวกพ้อง แต่ทิ้งความทุกข์มหาศาลให้พี่น้องประชาชนเป็นคนรับเป็นอันขาด ด้วยหัวใจอันเคารพ เชื่อมั่นในหลักการสิทธิมนุษยชน และวิถีประชาธิปไตย ขบวนการอีสานใหม่ |
สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2557 ในเวลา 22.00 น.ชาวบ้านกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดฯ แจ้งว่า มีกลุ่มชายฉกรรจ์คลุมผ้าปกปิดใบหน้านับร้อยคน พร้อมอาวุธคือท่อไม้ บุกเข้าชาร์จชาวบ้านซึ่งเป็นยามอาสาเฝ้าบริเวณป้อมยามหมู่บ้าน หรือ ‘กำแพงใจ’ ทั้ง 3 จุด ซึ่งเป็นจุดที่ใช้ดูแลกำแพงที่สำหรับขวางรถบรรทุกที่จะผ่านหมู่บ้านเพื่อ เข้าเหมืองแร่ทองคำ
กลุ่มชายฉกรรจ์ดังกล่าวเข้ารือกำแพงและมีการยิงปืนขึ้นฟ้าเป็นระยะ พร้อมทั้งจับตัวนายสุรพันธ์ รุจิไชยวัฒน์ และนายสมัย ภักมี ซึ่งเป็นแกนนำชาวบ้านกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดไว้ด้วย
ต่อมาเมื่อเวลา 01.30 น.(16 พ.ค 2557.) นางวิรอน รุจิไชยวัฒน์ อายุ 43 ปี แกนนำชาวบ้าน เล่าว่า ขณะนี้ยังมีการตะลุมบอนกันอยู่ระหว่างชาวบ้านกับกลุ่มชายฉกรรจ์ดังกล่าว ซึ่งจุดที่เธออยู่มีกลุ่มชายฉกรรจ์ดังกล่าวประมาณ 50 คน โดยมีการใช้ไม้และยิงปืนขู่ และจับชาวบ้านไปด้วย พร้อมทั้งมีการนำรถบรรทุกขนแร่ออกไปแล้ว 3-4 คัน
นางวิรอน กล่าวด้วยว่า ได้แจ้งตำรวจและนายอำเภอ ตั้งแต่เกิดเหตุเวลา 22.00 น. ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีเจ้าหน้าที่เข้ามาดูแลในพื้นที่เกิดเหตุเลย
ต่อมาเวลา 02.00 น. ของวันที่ 16 พ.ค. 2557 มีรายงานว่า ภายในชุมชนมีเสียงปืนดังเป็นระยะ มีชาวบ้านได้รับบาดเจ็บสาหัส 1 ราย ได้นำส่งโรงพยาบาลไม่ได้เนื่องจากถูกชายฉกรรจ์ปิดล้อม ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามเข้าพื้นที่ แต่ถูกกลุ่มชายฉกรรจ์อีกกลุ่มขวางไว้
เวลา 3.45 น. มีรายงานว่า ชาวบ้านที่ถูกจับกุมไว้บางส่วนถูกปล่อยตัวแล้ว โดยชาวบ้านได้สำรวจพบว่ามีอี
ชาวบ้านที่ถูกปล่อยตัวออกมาเล่
เวลา 4.30 น. ชาวบ้านได้รับการปล่อยตัว ชายฉกรรจ์สลายตัวออกจากพื้นที่
สรุปยอดคนเจ็บไปโรงพยาบาลอย่
ในระหว่างเกิดเหตุ ชาวบ้านโทรแจ้งตำรวจเพื่
ทั้งนี้ในพื้นที่ดังกล่าวข้อพิพาทระหว่างกลุ่มชาวบ้านในพื้นที่กับบริษัท ทุ่งคำ จำกัด ซึ่งเป็นผู้รับสัมปทานทำเหมืองแร่ทองคำดังกล่าว โดยชาวบ้านได้สร้างกำแพงขึ้นมาขวางทางรถบรรทุกหลังจากที่ชาวบ้าน 6 หมู่บ้านใน ต.เขาหลวง ทำประชาคมหมู่บ้านเมื่อวันที่ 6 ก.ย.56 และได้มี ‘ระเบียบชุมชนว่าด้วยการใช้ถนนชุมชนและการควบคุมน้ำหนักบรรทุก’ ซึ่งมีข้อห้ามที่ตกลงกันว่า ห้ามรถบรรทุกหนักเกิน 15 ตัน และการขนสารเคมีอันตรายเข้ามาในชุมชน เพื่อป้องกันสุขภาพและความปลอดภัยของคนในชุมชน และหลังจากออกระเบียบชุมชนดังกล่าวชาวบ้านจึงร่วมกันสร้างแนวกำแพงเพื่อ ป้องกันไม่ให้รถบรรทุกผ่านทางสาธารณะบริเวณสี่แยกที่ตัดกับทางเข้าเหมือง
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)