เคยมีอดีตนายกรัฐมนตรีบางคนพร่ำบอกและตอกย้ำกับสังคมไทยตลอดมาว่า ประเทศไทยเป็นนิติรัฐ ที่ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ซึ่งความหมายทางทฤษฎีจะหมายถึง การปกครองของรัฐที่ถือกฎหมายเป็นใหญ่ ไม่ใช่การปกครองด้วยอำนาจบารมีของผู้ถือกฎหมาย และกฎหมายต้องเป็นที่พึ่งของประชาชนได้อย่างแท้จริง กล่าวโดยสรุปก็คือ รัฐต้องให้การรับรองและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานทั้ง 3 ประการ ได้แก่ สิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล , สิทธิเสรีภาพในทางเศรษฐกิจ และสิทธิเสรีภาพในการมีส่วนร่วมทางการเมือง แต่นั่นก็เป็นเพียงคำกล่าวอ้างเลื่อนลอยที่เป็นแผ่นเสียงตกร่องมาช้านาน ทั้งยังไม่เคยเกิดขึ้นจริงในทางปฏิบัติด้วย ถือได้ว่าเป็นวาทกรรมที่ถูกใช้เป็นข้ออ้างกับสังคมไทยเรื่อยมาว่า ไม่มีคนกลุ่มใดสามารถอยู่เหนือกฎหมายได้
แต่ความเป็นจริงที่ปรากฎโดยทั่วไป ประเทศไทยเป็นสังคมแห่งการเลือกปฏิบัติอย่างชัดเจน ระหว่างฝ่ายเดียวกันและต่างฝ่าย จึงทำให้เกิดสองมาตรฐานในเรื่องเดียวกัน หรือบางครั้งก็ไม่สามารถหามาตรฐานมารองรับหรืออธิบายได้เลยก็เป็นได้ ซึ่งจะเห็นได้จากคนบางกลุ่มสามารถทำเรื่องที่ผิดกฎหมายได้โดยไม่ผิดกฎหมาย โดยผู้มีอำนาจให้การหนุนหลังหรือผู้ใหญ่ของบ้านเมืองให้รับรองพฤติกรรมว่าเป็นคนดี หรือเป็นโชคดีของคนไทย ทำให้ไม่มีเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานของรัฐกล้าดำเนินการตามกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา เพราะเมื่อดำเนินการไปแล้วก็อาจถูกเพ่งเล็งจนอาจมีผลกระทบต่อการเติบโตในอาชีพการงาน หรือเมื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว การพิจารณาก็ใช้ระยะเวลาที่ยาวนาน ไม่รวดเร็วเหมือนกับอีกฝ่ายหนึ่ง เช่น คดียึดทำเนียบรัฐบาล , คดียึดสนามบิน เป็นต้น กระบวนการยุติธรรมที่ล่าช้า ก็คือ ความอยุติธรรม นั่นเอง
เหตุใดและทำไม ชนชั้นสูง ผู้มีอำนาจทั้งฝ่ายพลเรือนและกองทัพ กลุ่มนักวิชาการสายอนุรักษ์นิยม รวมทั้งคนรุ่นใหม่ที่ได้ชื่อว่าเป็นสลิ่ม มักจะเรียกร้องให้ประชาชนคนรากหญ้า ต้องปฏิบัติตามและอยู่ภายใต้กฎหมายอย่างเคร่งครัด แต่พวกเขาเหล่านี้กลับมีอภิสิทธิ์ มีสิทธิพิเศษ โดยอยู่เหนือกฎหมายหรือสามารถทำผิดกฎหมายเสียเอง จึงเกิดคำถามที่ค้างคาใจยิ่งนักว่าเพราะอะไร หรือสังคมไทยแท้ที่จริงแล้ว เป็นสังคมแห่งข้อยกเว้น ที่สามารถกระทำตรงข้ามกับกฎหมายได้ตลอดเวลา มีการเลือกปฏิบัติและยืดหยุ่นไว้สำหรับคนบางกลุ่มเสมอ ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับว่า เป็นเครือข่าย เป็นเส้นสายหรือเป็นผู้อยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ของใคร
ในสังคมศักดินาสมัยโบราณ ระบบเจ้าขุนมูลนายนั้น ไพร่คือราษฎรทั่วไปที่ไม่ใช่ทาส เป็นเสรีชนที่ประกอบอาชีพได้อย่างอิสระ แต่ก็ต้องอยู่ภายใต้สังกัดมูลนายเช่นเดียวกัน ไม่เช่นนั้นแล้วก็จะไม่ได้รับการคุ้มครองจากกฎหมาย หน้าที่หลักก็คือ ถูกเกณฑ์แรงงานเพื่อมาทำงานตามที่ราชการกำหนด โดยมีทั้งไพร่หลวง , ไพร่สม และไพร่ส่วย มูลนายจะมีไพร่มากน้อยก็ขึ้นอยู่กับตำแหน่ง อำนาจบารมี ยศฐาบรรดาศักดิ์ หากมีบารมีมากก็จะมีผู้คนเข้ามาสวามิภักดิ์กันมาก ตัวไพร่เองก็มีหน้าที่คอยทำงานรับใช้มูลนายอีกเช่นกัน แต่ถ้าไม่ต้องการทำงานก็เพียงส่งส่วยหรือเงินเป็นค่าแรงแทนการถูกเกณฑ์แรงงาน มูลนายก็มีหน้าที่ในการปกป้องและคุ้มครองไพร่ในปกครองของตน ไม่ว่าจะผิดหรือถูกอย่างไร ไพร่ก็ต้องแย่งกันเสนอหน้าเพื่อเอาใจหรือทำให้มูลนายพึงพอใจเช่นกัน
กาลเวลาล่วงเลยมาถึงปัจจุบัน สัญชาตญาณดังกล่าวก็ยังมีอยู่ เนื่องจากเป็นมรดกตกทอดทางจารีตและจิตวิญญาณ และถูกกำหนดด้วยความสัมพันธ์แบบชนชั้นที่ไม่เป็นทางการ ซึ่งไม่ต้องอธิบายก็เข้าใจในความหมาย ดังนั้นคนบางกลุ่มจึงยังคงอยู่เหนือกฎหมายและอยู่เหนือนิติรัฐเสมอมา แต่น่าเสียดายที่คนกลุ่มนี้กลับกลายมาเป็นผู้ร่างกฎหมาย บทบัญญัติ หลักเกณฑ์ รวมถึงระเบียบปฏิบัติเพื่อใช้บังคับและปกครองประชาชนซึ่งเป็นพลเมืองส่วนใหญ่ และเมื่อคนกลุ่มใด ชนชั้นใด เป็นผู้ร่างกฎหมาย ก็จะร่างกฎหมายเพื่อผลประโยชน์ของคนกลุ่มนั้น ชนชั้นนั้นเป็นสำคัญ หาได้ยึดถือประโยชน์ของส่วนรวมเป็นสำคัญไม่ ถ้าเป็นสามัญชนทั่วไปที่ไม่มีอำนาจวาสนา ไม่มีเส้นสายหรือไม่มีความรู้ทางกฎหมายแล้ว เมื่อกระทำการที่ขัดต่อรัฐหรือท้าทายอำนาจรัฐตามการตีความของผู้ปกครองในแต่ละยุค ก็จะถูกดำเนินการอย่างเคร่งครัด เที่ยงตรง ตามนิยามที่กฎหมายบัญญัติไว้ทุกประการ ทั้งนี้เพื่อแสดงให้สาธารณชนได้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย หรืออาจจะกล่าวได้ว่า ผู้มีอำนาจได้ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการแบ่งแยกและปกครอง เพื่อจัดระเบียบสังคมให้เกิดความเรียบร้อยและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน แต่ถ้าเป็นกลุ่มคนที่มีสิทธิพิเศษ มีอำนาจวาสนา มีเงิน มีเส้นสายหรือมีผู้อุปถัมภ์ค้ำจุนแล้ว กฎหมายจะมีข้อยกเว้นไว้เสมอ คล้ายกับว่า ยอมถูกปิดตาข้างหนึ่ง และถ้าหากไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนก็จะยกประโยชน์ให้จำเลย หรือบางครั้งก็ไม่เร่งรัดดำเนินคดี โดยจะปล่อยให้หมดอายุความไปเอง ซึ่งสังคมจะทำเป็นมองไม่เห็นและลืมเลือนไปตามสายลม หรืออีกนัยหนึ่ง นิติรัฐของไทยนั้น บทบัญญัติหรือข้อบังคับกำหนดไว้อย่างไรนั้น หาใช่สาระสำคัญไม่ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจและข้อยกเว้นว่ามีอะไรบ้าง โดยจะตีความแบบศรีธนญชัยเพื่อเลี่ยงบาลีและช่วยเหลือหรือลดหย่อนผ่อนโทษให้ โดยกระทำในนามของกฎหมาย
การเลือกปฎิบัติ , การเคร่งครัด , การย่อหย่อน , การเอาใจเจ้านายหรือผู้มีอำนาจนั้น มีให้เห็นกันอยู่ทุกขณะจิต ผู้น้อยต้องคอยเอาใจผู้ใหญ่หรือรับใช้เจ้าใหญ่นายโตเพียงเพื่อการเลื่อนตำแหน่งหรือเข้าสู่อำนาจในอนาคต เช่น ผู้มีอำนาจใช้ระบบอุปถัมภ์ฝากลูกหลานเข้าทำงานในหน่วยงานของตน เช่น หน่วยงานราชการ , รัฐวิสาหกิจ หรือแม้กระทั่งบริษัทเอกชน โดยเป็นผู้ออกคำสั่งและเซ็นอนุมัติเอง ทั้งนี้เพื่อให้ลูกหลานได้รับเงินเดือนและสวัสดิการ รวมทั้งบำเหน็จบำนาญที่มาจากภาษีประชาชน โดยที่ไม่ต้องสอบแข่งขันกับคนอื่น ถือเป็นมรดกสืบทอดทางวงศ์ตระกูลจากพ่อสู่ลูก ถึงแม้กฎหมายจะไม่มีข้อห้าม แต่ก็ผิดทั้งศีลธรรมและจริยธรรม แต่จากประสบการณ์ของผู้มีอำนาจในอดีตได้เคยกระทำกันจนถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติแล้ว ผู้ใต้บังคับบัญชาก็มีหน้าที่สนองนโยบายเท่านั้น พร้อมทั้งยินดีให้การอุปการะลูกท่านหลานเธอต่อไป โดยถือว่าเป็นลูกหลานเจ้านายเก่าผู้มีพระคุณ เพราะเจ้านายเก่าก็ได้ช่วยเหลือผลักดันตนเองให้ขึ้นมารับตำแหน่งแทน ดังนั้นภายใต้อำนาจที่มีอยู่ก็สามารถดำเนินการใดๆ ก็ได้
แค่เพียงผู้มีอำนาจเอ่ยปากเกริ่นนำ ก็จะมีบ่าวไพร่หรือบริวารว่านเครือแข่งขันเอาใจและเสนอหน้าให้ได้ผลงาน ซึ่งนโยบายหรือความคิดบางอย่างนั้นอาจเป็นเพียงความคิดชั่ววูบที่ไม่ได้ใคร่ครวญไตร่ตรองมาอย่างถี่ถ้วน และบางครั้งก็อาจผิดหลักกฎหมายเองด้วย แต่ด้วยรหัสที่ฝังรากลึกอยู่ในยีนส์ที่ต้องการทำให้เจ้านายพึงพอใจ สังคมจึงได้เห็นการกวดขัน การเคร่งครัดกฎหมายเฉพาะบางพื้นที่ บางช่วงเวลา และคนบางกลุ่มเท่านั้น เช่น การจับปรับมอเตอร์ไซต์และหมวกกันน็อค , การตรวจจับความเร็ว ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มผู้มีรายได้น้อย สิ่งเหล่านี้จึงเป็นการย้อนแย้งสังคมโดยตัวของมันเอง ถือเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่มีมาตรฐานมารองรับ ซึ่งในจิตสำนึกของสังคมทั่วไปถึงแม้จะมองว่าเป็นสิ่งไม่ดีงาม แต่ถ้าผู้ใหญ่ให้ท้ายหรือไม่ได้ตักเตือนแล้ว สังคมนั้นก็จะพร้อมใจกันหลับตาข้างหนึ่งเสมอ หรือหากผู้มีอำนาจรัฐทำผิดกฎหมาย , ศีลธรรม , จริยธรรมเสียเอง แต่ก็ไม่มีใครกล้าทักท้วงเช่นกัน เพราะรับรู้และเข้าใจดีว่า เป็นสิ่งที่ละไว้ในฐานที่เข้าใจกัน
เหตุใดและทำไม ชนชั้นกลางในเมืองหลวงจึงเพิกเฉยต่อการฉ้อราษฎร์บังหลวงไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ก็ตาม นั่นเป็นเพราะการคอร์รัปชันก่อกำเนิดจากระบบอุปถัมภ์ การคอร์รัปชันในนามของคนดีเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ของชนชั้นกลางและไม่ใช่สิ่งแปลกปลอมในสังคม เนื่องจากพวกเขาเหล่านี้เติบโตขึ้นมาในสังคมที่มองว่าเป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่ผู้มีอำนาจสามารถกระทำได้ หรืออาจจะเรียกได้ว่า มือใครยาว สาวได้สาวเอา , ทีของใคร ทีของมัน เป็นต้น อันที่จริงแล้วชนชั้นกลางเคยชินและพอใจกับระบบจ่ายเงินใต้โต๊ะให้เจ้าหน้าที่รัฐเพื่อให้ตนเองได้เปรียบคนรอบข้างจนเป็นปกติ แต่ทำไมจากความวุ่นวายทางการเมืองที่ผ่านมา เมื่อคนต่างจังหวัดต้องการเรียกร้องความเสมอภาคและเท่าเทียมกันผ่านระบบประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งโดยต้องการระบบที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ แต่ทำไมชนชั้นกลางจึงเกิดสำนึกต่อต้านการคอร์รัปชั่นขึ้นมาอย่างฉับพลันทันใด เสมือนหนึ่งมีการเปิดปุ่มต่อต้านการโกงขึ้นมาโดยอัตโนมัติ หรืออาจเป็นเพราะว่า อีกฝ่ายหนึ่งเป็นคนต่างพวกที่ไม่ใช่พวกตน ชนชั้นกลางจึงเกิดความรู้สึกอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลง หวั่นไหวและหวาดกลัวว่าโครงสร้างทางสังคมที่กลุ่มของตนได้เปรียบและได้ประโยชน์มาช้านานจะพังทลายลงมาด้วยการเลือกตั้ง พร้อมทั้งกลัวว่าสถานภาพของตนจะถูกสั่นคลอนโดยหวาดระแวงว่า ชนชั้นล่างจะก้าวขึ้นมาทัดเทียมเสมอหน้า กลัวว่าตนเองจะสูญเสียอภิสิทธิ์หรือถูกลิดรอนสิทธิพิเศษ และถูกตัดทอนอำนาจที่อยู่เหนือกฎหมายออกไป ดังนั้นจึงต้องออกมาเดินขบวนปกป้องผลประโยชน์แห่งตน ซึ่งเป็นตรรกะวิบัติยิ่งนัก เพราะที่ผ่านมา รัฐได้สูญเสียงบประมาณไปเป็นจำนวนมากกับการรณรงค์แคมเปญโตไปไม่โกง แต่สุดท้ายก็ถูกละเลยและไม่ใส่ใจอย่างสิ้นเชิงจากชนชั้นกลางผู้มีการศึกษาและมีศีลธรรมชั้นสูง เพราะพวกเขาทราบดีว่าเป็นการรณรงค์ให้คนชั้นล่างต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามเท่านั้น แต่จะยกเว้นไว้สำหรับพวกตน
การปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้น จะเปิดพื้นที่ให้มีการตรวจสอบจากสังคมรอบข้างได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ มีการถกเถียงโต้แย้งแบบมีเหตุผลและตรงไปตรงมา ซึ่งการใช้อำนาจที่ไม่อิงประชาชนของเจ้าหน้าที่รัฐจะกระทำได้น้อยลงหรือต้องรัดกุมมากขึ้น และไม่สามารถใช้อำนาจได้ตามอำเภอใจอีกต่อไป ทั้งนี้ระบอบประชาธิปไตยจะทำให้การคอร์รัปชั่นถูกตรวจสอบและควบคุมได้จากประชาชนทั่วไป ในยุคปัจจุบัน Social Media ได้เข้ามามีบทบาทและมีอิทธิพลมากขึ้น มีส่วนช่วยให้การตรวจสอบทำได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย อีกทั้งยังใช้ย้อนเวลาสืบค้นหลักฐานว่า ในอดีตใครเคยแสดงความเห็นหรือเขียนข้อความในสื่อออนไลน์ไว้อย่างไร ซึ่งจะมีบันทึกไว้ทั้งภาพและเสียงที่สามารถเรียกดูได้ตลอดเวลา กลับกลายเป็นว่า อดีตจะเป็นตัวไล่ล่าปัจจุบัน ถ้าหากบุคคลนั้นพูดไม่ดี ทำไม่ดี หรือแสดงออกในสิ่งที่ตรงข้ามกับสามัญสำนึกของสังคมทั่วไป และจะเป็นอดีตที่จะคอยหลอกหลอนคนๆ นั้นไปตลอด เปรียบเหมือนเป็นการเจาะเวลาหาอดีตโดยเครือข่ายสังคมในโลกออนไลน์จะขุดค้นเรื่องราวในอดีตขึ้นมาโดยพร้อมเพรียงกัน
บางคนให้นิยามระบอบประชาธิปไตยไทยว่าเป็น ประชาธิปไตยแบบ a day นั่นคือ เป็นประชาธิปไตยเฉพาะบางวัน มีปุ่มเปิดและปิดได้ตลอดเวลา ซึ่งจะเปิดก็ต่อเมื่อกลุ่มของตนได้ประโยชน์ และปิดเมื่อกลุ่มของตนเสียประโยชน์ วันหนึ่งในอดีตเคยรังเกียจการคอร์รัปชัน ไม่ต้องการรัฐบาลนอมินีที่มาจากการซื้อเสียง แต่อีกวันหนึ่งในปัจจุบันไปปั่นจักรยานสนับสนุนเผด็จการ โดยโยนทิ้งอุดมการณ์ที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมไว้เบื้องหลัง โยนทิ้งการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง เพราะฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ตัวเองเป็นเพียงจุดเล็กๆ ในสังคมที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ดังนั้นจึงขอหลบลี้หนีภัยไปดำเนินชีวิตตามปกติสุข ตามวิสัยและแบบฉบับที่ตัวเองนึกฝันหรือจินตนาการไว้ เช่น กระแสอินดี้อยากเรียนรู้ชีวิตชาวนา , กระแสวิถีเกษตรแบบอินทรีย์ , กระแสอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม แม้กระทั่งกระแสท่องเที่ยวและปฎิบัติธรรมกับพระชื่อดัง เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นเปลือกนอกที่สร้างภาพอันวูบวาบ ฉาบฉวย เพียงเพื่อสนองตอบความต้องการระยะสั้นหรือเป็นกิจกรรมยามว่างช่วงสุดสัปดาห์เพื่อชดเชยสิ่งที่ขาดไปของสังคมเมืองหลวงเท่านั้น แล้วเมื่อใดก็ตามที่เวลามาถึง ปุ่มกระแสรักชาติจะถูกเปิดขึ้น พวกเขาก็จะกลับมาใหม่เมื่อได้ยินเสียงนกหวีดดังขึ้นอีกครั้ง
ระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แท้จริงจะเกิดขึ้นได้นั้น ก็ต่อเมื่อ สังคมได้สถาปนาอำนาจอธิปไตยทั้งจากฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ ขึ้นมาอย่างถาวร และพร้อมใจกันสร้างระบบการตรวจสอบถ่วงดุลที่เป็นธรรมต่อทุกฝ่าย ไม่แบ่งพรรคแบ่งพวก ไม่ว่าจะเป็นสีใดก็ตาม มีความโปร่งใสที่เชื่อถือได้ รวมทั้งทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน โดยปราศจากข้อยกเว้นและการเลือกปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในท้ายที่สุดแล้ว เมื่อการเปลี่ยนผ่านมาถึง การสร้างบ้านแปงเมืองครั้งใหม่ด้วยหลักนิติรัฐอย่างแท้จริงจะก่อให้เกิดความสงบสุขร่มเย็นของคนทุกชนชั้น และจะนำซึ่งสังคมที่ไม่ต้อง ละไว้...ในฐานที่เข้าใจ อีกต่อไป
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)