เรื่อง & ภาพ : คิม ไชยสุขประเสริฐ
Prachatai Eyes View: ท่องเมืองทวาย... ตามรอย Dawei Project
สถานการณ์ล่าสุด ‘โครงการท่าเรือน้ำลึกและเขตนิคมอุตสาหกรรมทวาย’ ความหวังเพื่อการพัฒนาอันโชติช่วงของอาเซียนโดยรัฐบาลไทยและรัฐบาลพม่าดูเหมือนจะประสบภาวะชะงักงันระลอกสอง จากปัญหาการเมืองภายในของไทยขณะนี้ หลังจากการดำเนินการโดยเอกชนอย่าง บมจ. อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ ผู้ได้รับสัมปทานจากรัฐบาลพม่าเมื่อปี 2553 ประสบปัญหาการดำเนินงานล่าช้าจนต้องเปลี่ยนมือ
ที่ผ่านมา สำนักงานพัฒนาความร่วมมือเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) ของไทย กับ Foreign Economic Relation Department ของประเทศพม่า ได้ร่วมทุนจัดตั้ง บริษัท ทวาย เอสอีแซด ดีเวล๊อปเมนท์ จำกัด ในรูปแบบของนิติบุคคลเฉพาะกิจ (Special Purpose Vehicle: SPV) เพื่อบริหารโครงการฯ โดยมีสัดส่วนการถือหุ้น 50 ต่อ 50 และได้เชื้อเชิญนักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่นเข้าร่วมลงทุนด้วย แต่การเจรจายังไม่ได้ข้อยุติ
ขณะที่การดำเนินงานโครงการฯ ในพื้นที่ชะลอลง เพื่อรอรับการลงทุนครั้งใหม่... เมื่อวันที่ 16-19 ก.พ.2557 สมาคมพัฒนาทวาย (DDA) ซึ่งเป็นองค์กรภาคประชาชนท้องถิ่นของทวาย ร่วมกับเสมสิกขาลัย (SEM) และโครงการฟื้นฟูนิเวศในภูมิภาคแม่น้ำโขง (TERRA) จัดทริปลงพื้นที่ เพื่อร่วมรับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการในทวาย โดยเฉพาะในประเด็นผลกระทบที่เกิดกับประชาชน
…
หลังจาก เมื่อวันที่ 5 มี.ค.2556 ตัวแทนสมาคมพัฒนาทวายได้เดินทางมายื่นจดหมายร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของไทย โดยระบุถึงข้อกังวลเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนและสิทธิชุมชนของโครงการฯ ซึ่งลงทุนโดยบริษัทไทยและผลักดันโดยรัฐบาลไทย
ข้อมูลจากสมาคมพัฒนาทวายที่เรารับรู้ก่อนการเดินทาง ระบุว่า โครงการทวายจะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของชาวทวายกว่า 83,000 คน ใน 3 พื้นที่ คือ 1.พื้นที่ 204.5 ตร.กม.ของการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกและเขตนิคมอุตสาหกรรมทวายในเขตนาบูเล่ ซึ่งมีประชากร 32,274 คน จาก 3,977 ครัวเรือน ใน 21 หมู่บ้าน จะต้องถูกอพยพ
2.หมู่บ้านกาโลนท่า ซึ่งมีแผนก่อสร้างเขื่อนที่แม่น้ำตะลายยาร์ เพื่อนำน้ำไปใช้ในเขตนิคมอุตสาหกรรม มีประชากรประมาณ 1,000 คน จาก 182 ครัวเรือน จะต้องถูกอพยพ และ 3.พื้นที่ก่อสร้างถนนระยะทาง 132 กิโลเมตรที่เชื่อมต่อระหว่างเขตนิคมอุตสาหกรรมทวายกับบ้านพุน้ำร้อนของประเทศไทย มีประชากรประมาณ 50,000 คน จะได้รับผลกระทบ
…
เราข้ามด่านตรงจุดผ่านแดนถาวรและจุดผ่อนปรน บ้านพุน้ำร้อน ต.บ้านเก่า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี เดินทางด้วยรถตู้ขนาดเล็กวิ่งไปบนถนนลูกรังทำมือซึ่งบางส่วนซ้อนทับกับเส้นทาง ‘โครงการสร้างถนนเชื่อมต่อจากโครงการทวายถึงชายแดนไทย’ ที่ยังคงมีคนทำทางอยู่เป็นระยะ ผ่านจุดตรวจทั้งของ KNU และรัฐบาลพม่า ถึง 6 จุด
การเดินทางมุ่งหน้าสู่ทวายข้ามแม่น้ำตะนาวศรี ระยะทางราว 130 กม. ใช้เวลานานถึง 5 ชั่วโมง และ 4 วัน หลังจากนั้น เวลาส่วนใหญ่ของเราก็หมดไปกับการเดินทางตามรอย ‘โครงการท่าเรือน้ำลึกและเขตนิคมอุตสาหกรรมทวาย’ และการรับฟังเรื่องราวของคนในพื้นที่ผลกระทบ
…
ที่วัดเก่าแก่อายุกว่า 200 ปี ชื่อ Yalaing Kyaung Gyi ที่หมู่บ้านยาลาย (Yalaing) ในนาบูเล (Nabule) ซึ่งเดิมเคยอยู่ในแผนต้องถูกโยกย้ายเนื่องจากการก่อสร้างโครงการฯ
โก เล ลวิน (Ko Lay Lwin) วัย 45 ปี เล่าว่าทั้งหมู่บ้านและวัดแห่งนี้ไม่อยู่ในโครงการฯ แล้ว หลังจากที่มีการปรับแผนเป็นครั้งที่ 3 โดยมีเพียงที่ทำกินบางส่วนที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งสำหรับชาวบ้านนี่เป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่ก็ไม่มีอะไรมารับประกันว่าโครงการที่เปลี่ยนแผนไปมานี้จะไม่มากระทบพวกเขาในสักวันหนึ่ง
โก เล ลวิน บอกด้วยว่า สิ่งที่ชาวบ้านต้องการขณะนี้คือค่าชดเชยที่เป็นธรรม แต่สถานการณ์ที่ผ่านมาการให้ค่าชดเชยจะมากน้อยขึ้นอยู่กับการต่อรอง ชาวบ้านแต่ละคนแม้อยู่ในพื้นที่ใกล้กัน แต่ค่าชดเชยก็ไม่เหมือนกัน อีกทั้งเอกสารหลักฐานก็ไม่ชัดเจน บางคนได้เพียงกระดาษแผ่นเล็กๆ ที่เขียนเพียงว่าได้จ่ายค่าชดเชยแล้ว ซึ่งเขาเชื่อว่านี่เป็นช่องทางหนึ่งของการทุจริตคอรัปชั่น
…
ที่หมู่บ้านรองรับผู้อพยพบาวา (Bawar) ที่นี่คือที่ดินทำกินเดิมของชาวบ้านบาวาซึ่งถูกนำมาใช้สร้างหมู่บ้านจำนวน 480 หลังคาเรือน เพื่อรองรับผู้อพยพจากโครงการฯ แต่ขณะนี้มีผู้อพยพเพียงครอบครัวเดียวที่อาศัยอยู่ที่นี่ โดยไม่มีที่ดินทำกิน ไม่มีไฟฟ้าใช้ และจะมีรถน้ำเข้ามาส่งน้ำทุกๆ 3 วัน เพราะแม้จะมีแทงค์น้ำแต่ก็ไม่ได้เปิดใช้งาน
โจว (Kyaw) อายุ 40 ปี คนดูแลหมู่บ้านและทำหน้าที่เป็นล่าม เขาพูดไทยได้เพราะเคยไปทำงานที่เมืองไทย เล่าว่าที่นี่จะมีคนดูแลแบ่งเป็นกะกลางวัน 10 คน กลางคืน 20 คน เมื่อก่อนก็มีไฟฟ้าใช้จากการปั่นไฟ แต่พอคนไทยย้ายกลับไปก็ไม่มีไฟใช้
…
ที่หมู่บ้านพายาดัต (Pa Ya dut) 1 ใน 6 หมู่บ้านที่ต้องย้ายออกจากพื้นที่ในล็อตแรก เนื่องจากอยู่ในเขตก่อสร้างอุตสาหกรรมหนัก เราแวะกินข้าวที่นี่และได้คุยกับคนขายน้ำอ้อยที่พูดไทยคล่องมากเพราะเธอทำงานที่เมืองไทยมาเป็น 10 ปี ล่าสุดเธอทำงานโรงงานทำยางที่ระนอง ก่อนจะย้ายกลับมาอยู่บ้าน
ตอนที่เธออยู่เมืองไทยทำงานได้ค่าจ้างวันละ 315 บาท ถ้ารวมโอทีค่าล่วงเวลา 15 วันเธอรับเงิน 7,500 บาท
เธอบอกว่าคนแถวหมู่บ้านนี้ไปทำงานที่เมืองไทยกันเยอะ ไปอยู่ที่ระนองก็มาก เพื่อนเธออีกคนซึ่งเป็นเจ้าของร้านน้ำอ้อยตัวจริงก็เพิ่งกลับมาจากการไปทำงานที่กรุงเทพฯ
ถามเธอว่าคิดอย่างไรกับโครงการนิคมอุตสาหกรรมที่ทวาย เธอบอกว่า ถ้าโครงการฯ มาแล้วพวกเธอได้ทำงานก็ดี แต่ถ้ามาแล้วบ้านเธอต้องถูกย้ายออก เธอก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
…
ที่วัด Le Shuang Thang Ai Kyaung ในหมู่บ้านเลชอง (Le Shuang) ชาวบ้านจาก หมู่บ้านเลชอง (Le Shuang) พายาดัต (Pa Ya dut) และ เท็นจี (Htein Gyi) ในนาบูเล่ (Nabule) ซึ่งจะได้รับผลกระทบจากการถูกโยกย้าย กว่า 20 คน มาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และปัญหาหลากหลายรูปแบบ แต่สิ่งที่พวกเขายืนยันเหมือนกันคือชีวิตของพวกเขาผูกติดกับผืนดินที่อยู่อาศัย ไม่สามารถย้ายไปที่ไหนได้
“ให้ตายก็ไม่ย้าย เรายอมตายที่นี่” Aung Ba ชาวบ้านวัย 66 ปี จากหมู่บ้านเลชองกล่าว
Aye Lin กล่าวว่า สำหรับนักลงทุนที่จะเข้ามา ชาวบ้านไม่ต้องการย้ายจากที่ดิน หากจะเอาที่ดินทำกินไปก็ต้องจ่ายในราคาที่ชาวบ้านพอใจ และที่สำคัญชาวบ้านไม่เอาอุตสาหกรรมสกปรก เพราะที่ดินจะคงอยู่ชั่วลูกชั่วหลาน หากมีอุตสาหกรรมปล่อยมลพิษ ชาวบ้านก็อยู่ต่อไปไม่ได้
เมื่อถามว่าการพัฒนาแบบไหนที่ชาวบ้านต้องการ ดูเหมือนพวกเขายังคิดไม่ตก แต่สิ่งที่ถูกยืนยันกลับมาคือการไม่เอาอุตสาหกรรมสกปรกและการพัฒนาที่สุดโต่งไปแบบใดแบบหนึ่ง พร้อมเสนอว่าในพื้นที่นี้น่าจะมีการพัฒนาการประมงและการเกษตรไปพร้อมกันด้วย ให้เกิดความสมดุล
…
ที่หมู่บ้านกาโลนท่า (Ka Lone Htar) ใน Yebyu พื้นที่ผลกระทบจากการสร้างเขื่อนบนแม่น้ำตะลายยาร์ซึ่งเป็นแม่น้ำสาขาของแม่น้ำทวาย เพื่อป้อนน้ำให้นิคมอุตสาหกรรมในโครงการฯ เริ่มมีการเข้ามาในพื้นที่เมื่อปี 2553 ด้วยข้ออ้างการสำรวจพื้นที่เพื่อสร้างถนน แต่ต่อมาเมื่อชาวบ้านรู้ว่าเป็นการสร้างเขื่อนซึ่งจะทำให้ชาวบ้าน 182 ครัวเรือนต้องถูกโยกย้าย จึงเกิดการต่อต้าน
จากข้อมูลการปรับแผนโครงการครั้งล่าสุด เขื่อนบนแม่น้ำตะลายยาร์ จะเริ่มต้นพัฒนาในปี 2563 ขณะนี้การเดินหน้าโครงการฯ ในพื้นที่จึงดูเหมือนหยุดชะงักไป
Pyinna Wonta พระแกนนำการต่อสู้ของชาวบ้านหมู่บ้านกาโลนท่า กล่าวว่า ถึงอย่างไรโครงการก็จะกลับมา แต่ก็จะสู้ให้ถึงที่สุด ที่ผ่านมาถือเป็นยุคแรกของการต่อสู้ เป็นการฝึกฝนเรียนรู้ ทำให้ชาวบ้านเข้มแข็งขึ้นกว่าแต่ก่อน ต่อไปถ้าบริษัทเข้ามาก็จะสู้ได้เพราะมีประสบการณ์มาแล้ว
…
ที่บ้านเมียวพิว พื้นที่ผลกระทบจากเหมืองแร่เฮ็นดา (Heing Da) ซึ่งลงทุนโดยบริษัทไทย เราพบกับวาวา หญิงสาวอายุ 26 ปี เธอทำงานในส่วนธุรการและเป็นล่ามให้กับบริษัทอิตาเลียนไทย หลังจากกลับมาอยู่บ้านได้ 1 ปี เพื่อดูแลพ่อที่ป่วยก่อนที่พ่อจะเสียชีวิตลง ทำให้เธอต้องกลับมาอยู่ที่บ้านอย่างถาวรเพื่อดูแลแม่ แต่ที่ดินเดิมของครอบครัวเธอกลับทำการเพาะปลูกไม่ได้เพราะน้ำปนเปื้อนสารเคมีจากเหมืองแร่ที่อยู่เหนือหมู่บ้านขึ้นไปไหลเข้าท่วมหมู่บ้าน
วาวา บอกว่า เมื่อเทียบกัน บริษัทอิตาเลียนไทยช่วยเหลือโรงเรียน นำขนม เสื้อผ้ามาแจกเด็กๆ มีการทำถนนด้วย ดีกว่าบริษัทเหมืองที่ไม่เคยมีอะไรมาให้ชาวบ้าน
ตอนนี้วาวากำลังรอบริษัทอิตาเลียนไทยเปิดรับสมัครคนเข้าทำงานรอบใหม่ในเดือน มิ.ย.นี้ แม้ว่าเงินค่าตอบแทนจะน้อยเมื่อเทียบกับที่เมืองไทย คือราว 200 บาทต่อวัน แต่เธอก็ได้อยู่บ้านดูแลครอบครัว และดีกว่าไม่มีงานทำ เพราะถึงตอนนี้จะให้เธอไปทำงานหนักอย่างรับจ้างตัดหญ้า เธอก็ทำไม่ได้แล้ว
…
ที่ชุมชนกามองต่วย ต้นน้ำตะนาวศรี Saw Kao ประธานกลุ่มท้องถิ่นในนามวิถีชีวิตชุมชนยั่งยืนและการพัฒนา (Community Sustainable Livelihood and Development: CSLD) ซึ่งเป็นการรวมตัวของชาวกะเหรี่ยง 12 หมูบ้าน ที่จะได้รับผลกระทบจากโครงการถนนเชื่อมสู่ไทย เล่าถึงสถานการณ์ในพื้นที่หลังเริ่มมีการดำเนินโครงการว่า ถนนที่ตัดผ่านมานอกจากจำทำลายพื้นที่เกษตรและทำให้เกิดตะกอนดินตกลงไปในแม่น้ำแล้ว ยังนำพาธุรกิจการทำเหมืองแร่และการทำไม้เข้ามาในพื้นที่ด้วย
Saw Kao กล่าวด้วยว่า กระบวนการสันติภาพที่ผ่านมาเป็นเหมือนการเปิดให้คนภายนอกเข้ามาแย่งชิงทรัพยากรในพื้นที่
ประธานกลุ่มท้องถิ่นในนามวิถีชีวิตชุมชนยั่งยืนและการพัฒนาให้ความเห็นว่า ในอดีตความขัดแย้งนำมาซึ่งการสูญเสียมากมาย การหยุดยิงไปจนถึงการเจรจาสันติภาพเป็นสิ่งที่ดี และสุดท้ายมันควรนำมาซึ่งความสงบสุขปลอดภัยของคนในพื้นที่ เป็นความหวังสำหรับคนรุ่นต่อๆ ไป และการพัฒนาต่างๆ ต้องไม่ทำลายความสุข ความปลอดภัยตรงนี้ด้วย
ตอนนี้ การเข้ามาของบริษัทต่างๆ ทำให้ชาวบ้านวิตกกังวลว่า ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาจะเป็นอย่างไรต่อไป ในอนาคต
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)