คุยกับคนทำร้าน ‘เอกาลิเต้’ ร้านหนังสือแห่งเมืองลำปาง ที่มีแนวคิดเป็น “พื้นที่กลาง” ระหว่างผู้อ่าน นักเขียน และคนทำหนังสือ และเป็น “พื้นที่เปิด” ให้ทุกคนเข้ามาเลือกสรรสิ่งที่อยากรู้และหยิบไป
ร้านหนังสือ “เอกาลิเต้” ในอาคารเก่าสร้างเมื่อปี 2474 ตั้งอยู่บนถนนทิพย์ช้างตัดกับถนนไปรษณีย์
สติ๊กเกอร์ที่กระจกหน้าร้าน กับสโลแกน “คนอ่าน คนเขียน เราเท่าเทียมกัน”
ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์ (วอร์ม)
เกรียงไกร เกิดศิริ (กอล์ฟ)
บรรยากาศในร้าน “เอกาลิเต้”
ในร้านมีการจัดแสดงนิทรรศการ “โปสการ์ด” กิจกรรมร่วมสนุกด้วยการส่งโปสการ์ดมายังร้าน โดยแฟนเพจในเฟซบุคของร้าน โดยมีการส่งโปสการ์ดมาจากหลายเมืองในประเทศไทย และหลายเมืองทั่วโลก
เมื่อพูดถึงลำปาง ผู้อ่านอาจจะนึกไปถึงชามตราไก่ วัดวาอารามที่มีประวัติศาสตร์เก่าแก่ หรือไม่ก็รถม้าโดยสารที่เป็นเอกลักษณ์ จะมีใครรู้ล่ะว่ามีชายหนุ่ม 2 คนผู้มีความฝัน ที่เคยคลุกคลีอยู่ในวงการวิชาการและงานเกี่ยวกับหนังสือมาเปิดร้านหนังสือที่มี “สไตล์” ของตนเองในเมืองนี้
เราเดินทางตามแผนที่ตัวเมืองลำปางไปจนถึงถนนไปรษณีย์ ตัดกับ ถนนทิพย์ช้าง แลเห็นอาคาร “เสาจินดารัตน์” ที่มีลักษณะเก่าแก่ ยอดอาคารมีอักษรสลักว่า “พ.ศ.2474” ที่บ่งบอกถึงอายุขัย ขณะที่ชั้นล่างสุดเป็นร้านติดกระจกขนาด 2 คูหา มีหนังสือ โปสการ์ด และสินค้าอีกจำนวนหนึ่งวางเรียงราย กระจกหน้าใต้สัญลักษณ์และชื่อร้านมีสโลแกนเขียนว่า “คนอ่าน คนเขียน เราเท่าเทียมกัน”
เรามีโอกาสพูดคุยกับเจ้าของร้านทั้ง 2 ท่านภายในร้าน แกล้มบรรยากาศที่มีเพลงบรรเลงคลอเบาๆ และกาแฟมอคค่าเย็น กับกองหนังสืออีกบางส่วนซึ่งกำลังจะจัดขึ้นชั้นหนังสือ ก่อนวันติดริบบิ้นเปิดร้าน 1 วัน
ร้านหนังสือของท้องถิ่นลำปาง
ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์ หรือ “วอร์ม” เป็นคนลำปางโดยกำเนิด เขาร่วมหุ้นกับ เกรียงไกร เกิดศิริ หรือ “กอล์ฟ” ชาวประจวบคีรีขันธ์ ผู้ที่ปัจจุบันทำงานเป็นอาจารย์คณะสถาปัตยกรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร ทั้งสองได้มาพบเจอกันขณะที่กอล์ฟมาทำงานวิจัยสถาปัตยกรรมวัดปงสนุกที่ลำปาง
“พวกเรามีงานวิจัยที่คาบเกี่ยวกันอยู่ พี่วอร์มแกทำงานวิจัยเรื่องเมืองในโครงการชีวิตสาธารณะ ผมเข้ามาทำเรื่องอนุรักษ์” เกรียงไกรกล่าว
วอร์ม มีอาคารเก่าซึ่งบรรพบุรุษเป็นเจ้าของก่อนตกทอดมาสู่รุ่นของเขา จึงคิดว่าอยากจะใช้ประโยชน์จากพื้นที่ตรงนี้เปลี่ยนให้เป็นร้านหนังสือเพราะอยากเป็นพื้นที่ของความรู้สำหรับคนในท้องถิ่น
“คือผมเป็นคนลำปาง อยากสร้างพื้นที่ตรงนี้ รู้สึกตะหงิดๆ ทุกทีที่มีคนบอกว่า เฮ้ย! ลำปางไม่น่าอยู่เลย บอกว่าอยากไปอยู่เชียงใหม่ อยากไปอยู่ปาย แล้วทำไมเราไม่อยากจะสร้างพื้นที่ของเราเอง”
ในความหมายของ "พื้นที่"
ร้านหนังสือเล็กๆ ที่มีลักษณะเฉพาะตัวไม่ใช่เรื่องใหม่โดยเฉพาะกับเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ ที่มีร้านหนังสือเดินทาง ร้านก็องดิด หรือในเชียงใหม่ก็มีร้าน ‘เล่า’ ขณะเดียวกันก็มีความน่าสนใจเรื่องรูปแบบธุรกิจของร้านว่าต้องอาศัยแบบแผนลักษณะเดียวกันหรือไม่
กอล์ฟบอกว่าเขาวางแผนจะให้นักศึกษาใช้ร้านหนังสือเป็นที่ทำงาน พร้อมๆ กับดูแลร้านแบบพาร์ทไทม์ “เหมือนกับสมัยที่ผมทำงานร้านหนังสือเดินทาง คือร้านหนังสือมันจะเงียบ จะมีลูกค้าแต่ช่วงเย็นๆ ช่วงกลางวันหลังจากเตรียมอะไรเสร็จมันก็จะเงียบๆ เหมาะจะนั่งอ่านหนังสือ”
“อย่างเช่นนักศึกษา ป.โท ศิลปากรพอเขาเข้าไปทำงานอยู่ในระบบออฟฟิศ เขาก็จะไม่มีเวลาให้กับการเรียน เพราะต้องทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย แต่พอเรามีพื้นที่อย่างนี้ให้เขาทำงานพิเศษกันเองมันทำให้เขาไม่ต้องไปทำงานในระบบออฟฟิศ พวกเขาก็จะจัดการพื้นที่กันเอง แบ่งงานกันเอง” กอล์ฟกล่าว
เมื่อพูดถึงการที่ให้พนักงานจัดการร้านกันเอง กอล์ฟก็อธิบายเพิ่มเติมว่า คนเฝ้าร้านแต่ละคนก็เสมือนเป็นเจ้าของร้านของตัวเองในแต่ละวัน รวมถึงบุคลิกอย่างเช่นการชงกาแฟก็จะมีรสชาติเฉพาะตัวไม่เหมือนกัน แต่ผู้ที่จะเข้ามาช่วยงานร้านควรจะมีคุณสมบัติบางอย่างด้วยเช่นกัน “จะต้องเป็นคนที่รักหนังสือ รักความเงียบ แต่ก็ต้องยินดีที่จะพูดคุยเวลาคนเข้ามา คล้าย ๆ ต้องจัดการทั้ง 2 บุคลิกของตัวเอง เพราะร้านหนังสือมันก็มีช่วงเวลาเงียบๆ ที่ต้องอยู่กับตัวเองให้ได้ ขณะเดียวกันก็ต้องรู้จักหนังสือ”
“...เพราะคาแรกเตอร์ของร้านขนาดเล็ก คนที่เข้ามาในร้านเหมือนเป็นเพื่อนฝูงกัน ไม่เหมือนร้านหนังสือใหญ่ๆ ที่หนังสือมันจะจมเข้าไปในทะเลหนังสือหมดเลย” กอล์ฟกล่าว “เราก็เลยพยายามจะคัดหนังสือที่คิดว่ามันไม่มีพื้นที่ในร้านขนาดใหญ่มาด้วยเพราะสำนักพิมพ์ใหญ่ๆ เขาจะจับจองพื้นที่ในร้านใหญ่ๆ ได้ทั้งหมด”
กอล์ฟยังได้กล่าวถึงการที่ตนได้เรียนรู้ระบบของสื่อสิ่งพิมพ์ ทำให้พบว่า "สมมุติว่าเขาเป็นสายส่งเองแล้วเขามีหน้าร้านหนังสือของตัวเอง ถ้าเราไปฝากเขาขายหนังสือของเราก็จะไปอยู่ไกล ๆ หนังสือที่อยู่ในชั้นวางด้านหน้าก็จะเป็นหนังสือของสายส่งหรือสำนักพิมพ์เขาเอง"
“เราก็เลยคิดว่าหนังสือเล็กๆ ของคนตัวเล็กๆ ที่เขามีกัน มันไม่ค่อยได้มีพื้นที่หน้าร้าน เราก็เลยทำร้านขึ้นมาด้วย ส่วนหนึ่งเพื่อให้หนังสือมันมีความหลากหลายมากขึ้น ที่พี่วอร์มแกตั้งชื่อว่า 'เอกาลิเต้' (Egalite) ที่แปลว่าเท่าเทียมกัน ในส่วนหนึ่งก็มองว่าหนังสือมันเป็นความรู้ ก็อยากให้ทุกคนได้อ่านหนังสือ แล้วหนังสือมันก็มีหลากหลายแนว” กอล์ฟกล่าว
“ก็อยากลองพิสูจน์ดูว่าจะสามารถอยู่ได้ด้วยตัวของมันเองหรือเปล่า อย่างน้อยหนังสือนี้ ไม่ใช่รายได้ทั้งหมดของร้านอยู่แล้ว รายได้ส่วนใหญ่ที่มาน่าจะมาจากขายเครื่องดื่ม เดี๋ยวจะมีขายของว่างเพิ่มมา” วอร์ม กล่าว
กอล์ฟเสริมว่า ร้านกาแฟกับร้านหนังสือมันก็เป็นของคู่กัน “บุคลิกของเครื่องดื่มมันไม่ได้ขัดกับความเป็นร้านหนังสือ แต่คราวนี้เครื่องดื่มต้องมาช่วยเลี้ยงร้าน เพราะส่วนต่างที่เราได้รับจากการขายหนังสือมันน้อยมาก”
ลักษณะของร้านหนังสือเล็กๆ จึงไม่ใช่แค่เพียงการซื้อมาขายไปของหนังสือ แต่ยังเป็นพื้นที่เสวนาแลกเปลี่ยน เป็นสภากาแฟของคนรู้ใจ เป็นพื้นที่ทำงาน-อ่านหนังสือของนักศึกษา และมีความหมายอื่นๆ เสริมตามบริบททางพื้นที่และเวลาของมัน
จากคนรักหนังสือ คนทำหนังสือ มาเป็นร้านหนังสือ
กอล์ฟ เล่าให้ฟังถึงประสบการณ์ที่ทำให้เขาได้ใกล้ชิดกับหนังสือมาตั้งแต่สมัยเป็นเด็ก เนื่องจากเขามีแม่เป็นครู และครูก็ต้องมีภาระดูแลนักเรียนตั้งแต่เช้ายันเย็น เวลาเขาจะไปรอแม่ก็ต้องไปรอที่ห้องสมุดตั้งแต่สมัยประถม เนื่องจากสุขภาพไม่ค่อยดี เป็นโรคหอบ ทำให้ต้องอยู่กับหนังสือมาตั้งแต่เด็ก และเมื่อเข้ามหาวิทยาลัย เขาก็เริ่มต้นเข้าเรียนในคณะวิศวกรรมศาสตร์ เรียนอยู่ 1 ปีแล้วรู้สึกไม่สนุกจึงมาเรียนในสาขาอักษรศาสตร์ ประวัติศาสตร์ภูมิศาสตร์
เมื่อช่วงราวเกือบ 10 ปีที่แล้วซึ่งเป็นยุคที่หนังสือทำมือกำลังบูม ตัวกอล์ฟเองก็มีโอกาสร่วมยุคสมัย จากการที่เป็นคนทำหนังสือทำมือคนหนึ่ง “ตอนนั้นเป็นช่วงที่เรากำลังเรียน มันมีพื้นที่ใหม่ๆ ออกมามาก มีพื้นที่สาธารณะที่ให้คนเข้าไปปฏิสัมพันธ์กับพื้นที่มากขึ้น”
“ตอนนั้นมีรุ่นพี่ที่สนิทอยู่ในหอเดียวกัน เรียนคณะเดียวกันมาแล้วก็มาเรียนอักษรฯ ด้วยกันต่อ ซึ่งตอนนี้เขาก็เป็นอาจารย์สอนปรัชญาอยู่ที่ศิลปากร ชอบอ่านหนังสือเหมือนกัน เลยชวนกันทำแล้วก็มีประเด็นหลายประเด็นในมหาวิทยาลัยที่มันน่าสนใจแต่ถูกมองข้าม ถูกทำให้ลืม เช่นประเด็นเรื่องรับน้อง เราก็รู้สึกอยากจะตั้งคำถามแล้วพอตั้งคำถามแล้วก็อยากจะผลิตมันออกมา ก็ได้เริ่มเรียนรู้การจัดอาร์ตเวิร์ก ทำให้ได้ความรู้มาทำสำนักพิมพ์อุษาคเนย์...”
กอล์ฟ กล่าวถึง “สำนักพิมพ์อุษาคเนย์” ว่าเป็นสำนักพิมพ์ที่พิมพ์หนังสือเกี่ยวกันศิลปะ สถาปัตยกรรม ซึ่งเขาทำอาร์ตเวิร์กเอง จากนั้นจึงนำ “พุกาม: การก่อรูปของสถาปัตยกรรมจากก้อนอิฐแห่งศรัทธา” หนังสือปกแข็งเล่มใหญ่ที่เกี่ยวกับการวิจัยในพุกามออกมาให้ดู และพูดคุยเรื่องวัด เจดีย์ กับผู้สื่อข่าวอีกคนที่สนใจอย่างออกรส ก่อนที่เขาจะพูดคุยเรื่องหนังสือทำมือต่อ
“ตอนนั้นผมใช้วิธีการระดมทุน มีการถ่ายเอกสารออกมาก่อน แล้วจึงมีสปอนเซอร์ที่เป็นกลุ่มเพื่อนด้วยกันเอง เผยแพร่ด้วยการไปตั้งไว้หน้าห้องเรียนให้หยิบ ใครหยิบก็ใส่เงินไว้ให้สำรองไว้พิมพ์เล่มหน้า มีการเผยแพร่ไปในวงกว้างเหมือนกัน แล้วอีกอย่างเราก็มีต้นฉบับวางไว้ร้านถ่ายเอกสาร ใครจะถ่ายเอกสารเอาไปอ่านก็เอาไป แม้เรามีทุนจำกัดแต่เราก็อยากเผยแพร่ความคิด” กอล์ฟเล่า
เมื่อถามถึงช่องทางเรื่องหนังสือทำมือในปัจจุบันที่ซบเซาลงไปมากกอล์ฟก็พูดถึงลักษณะการจัดพิมพ์แบบปรินท์ ออน ดีมานด์ คือการพิมพ์ตามจำนวนที่มีคนสั่งไว้ ซึ่งอาจจะมีเพียง 10-20 เล่ม
ทำไมต้องร้านหนังสือเล็กๆ
จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ อย่างหนังสือทำมือ บวกกับชั่วโมงบินทั้งจากงานสำนักพิมพ์และช่วยงานในร้านหนังสือ กลายมาเป็นหนึ่งแรงที่ช่วยสร้างร้านหนังสือเล็ก ๆ อีกแห่งขึ้นมา “ถามว่าทำไมถึงทำร้านหนังสือเล็กๆ คือในวงจรธุรกิจหนังสือมันก็มีหลายส่วน ทั้งคนทำร้านหนังสือ สายส่ง สำนักพิมพ์ ผู้เขียน สัก 4-5 กลุ่มหลัก ร้านหนังสือเป็นส่วนที่อยู่ปลายน้ำที่สุด คือเป็นสื่อกลางระหว่างส่วนอื่นๆ กับผู้อ่าน ก็เลยพยายามหาพื้นที่ในแบบที่ร้านขนาดใหญ่ไม่มี”
กอล์ฟสารภาพถึงแรงบันดาลใจอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เขาเลือกเส้นทางตรงนี้ว่ามาจากภาพยนตร์โรแมนติกอย่าง Notting Hill “อิทธิพลจากตอนที่เราตั้งแต่เด็กๆ รวมถึงการได้ทำหนังสือทำมือก็มีผลกับวิธีคิดเรา อีกอย่างหนึ่งคือการได้ดูหนังเรื่อง Notting Hill เป็นหนังที่มีร้านหนังสือขนาดเล็กอยู่ในชุมชน มันก็มีอิทธิพลกับเราเหมือนกันในแง่หนึ่งที่ว่าเราอยากให้ในชุมชนเล็กๆ อาจจะเป็นพื้นที่ในชุมชนเมือง มันมีพื้นที่ที่คนจะเข้ามาเลือกหยิบหนังสืออยากที่อยากจะอ่านได้...เราอยากให้เป็นอย่างนั้น”
วอร์มก็แสดงความรู้สึกต่อเรื่อง Notting Hill ในแบบเดียวกัน “ผมเองก็รู้สึกว่าทำไมแต่ละชุมชน ก็มีร้านหนังสือของมัน ทำไมมันมีธุรกิจที่หลากหลาย มันทำเพื่อคนตรงนี้ในพื้นที่ มีร้านต่างๆ ในชุมชนของเราเอง มีให้มันครบทุกรูปแบบ”
“แล้วพอดีพี่วอร์มเขาก็มีตึกเก่าอยู่ เราก็ได้มาใช้ ส่วนหนึ่งเราก็ทำเรื่องอนุรักษ์อาคาร อนุรักษ์เมือง พื้นที่สาธารณะด้วย ทั้งหมดนี้มันก็หล่อหลอมให้เกิดก้อนความคิดก้อนหนึ่งว่าอะไรที่เราจะทำได้ แล้วมันก็เป็นเหมือนธุรกิจด้วย เป็นอาชีพที่มันไม่ได้เอาเปรียบคนอื่น ไม่ได้เอาเปรียบสังคม แล้วมันยังเป็นพื้นที่สื่อกลางด้วย ให้เขาได้อ่านก่อน แล้วถึงจะเลือกสิ่งที่ดีสำหรับเขาไป” กอล์ฟเล่าต่อ
“อีกอย่างหนึ่งผมเคยเป็นอาจารย์สอนหนังสือ สิ่งที่อยากทำก็จะเป็น ไม่ให้ขัดแย้งกับสิ่งที่เราเป็น” กอล์ฟกล่าว “มันหล่อหลอมเรามา กระบวนความคิดของเรา มันทำให้เราต้องไปทำงาน ต้องเดินทางไปนู่นไปนี่ มันกลายมาเป็นสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้”
กอล์ฟบอกว่า เขาจะคอยดูแลในช่วงแรกๆ ก่อนจนกระทั่งทางร้านลงตัวจะเปิดให้ผู้ช่วย เข้ามาทำ โดยอาจถึงขั้นต้องเดินทางกลับมาช่วงเสาร์-อาทิตย์ “ถ้ามันกลายเป็นเรื่องที่ทำให้เราเหนื่อย กลายเป็นเรื่องที่เราไม่ชอบ เราไม่รัก มันจะกลายเป็นภาระ แต่ตรงนี้มันก็สนุกอีกแบบ”
กอล์ฟพูดถึงประสบการณ์จากการเป็นผู้ช่วยดูแลร้านหนังสือเดินทาง ว่ามันเป็นพื้นที่ที่คนเป็นคอหนังสือจะได้มาพบปะสังสรรค์กัน
“ตอนแรกเดิมทีพี่หนุ่ม (อำนาจ รัตนมณี) เจ้าของร้านจะปิดร้านนี้ แต่มันก็เป็นร้านที่ผมกับพี่หนุ่มและน้องคนอื่นๆ มีส่วนร่วมกันมา ก็ทำร้านกันมานาน 5-6 ปี ก็จะต้องพักเบรกช่วงหนึ่งแล้วจะปิดร้าน ตัวผมอยู่ศิลปากร อยู่ตรงแถวเกาะรัตนโกสินทร์ สมัยนั้นเดินผ่านข้าวสารจะไม่เจอร้านแบบนี้ เลยกลัวว่าร้านแบบนี้จะหายไป พื้นที่เรียนรู้ก็จะหายไปอีกที่หนึ่ง พื้นที่ที่จะไปเจอคนใหม่ได้ ไปเจอเพื่อนใหม่ ไปเจอคนชอบอ่านด้วยกัน เพราะบางทีเราก็เหนื่อยเหมือนกันในการจะคุยกับคนอื่น แต่ถ้าได้คุยกับคนในร้านหนังสือด้วยกัน มันก็อีกแบบหนึ่ง มันก็เห็นมุมที่เห็นคนอ่านหนังสือแบบเดียวกับเรา แล้วก็ชวนกันคุยได้ต่อ เราเลยอาสาเขาไปช่วยรันร้านหนังสือนั้นให้อยู่ให้ได้ แต่ผมทำงานประจำเลยไปทำเองก็ไม่ได้ เลยนึกถึงโมเดลให้นักศึกษามาทำงานพิเศษ”
สื่อออนไลน์เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยโปรโมทร้าน
หลายคนคงเคยผ่านหูผ่านตาร้านนี้บ้างแล้วจากการโฆษณาผ่านสื่อออนไลน์อย่าง Facebook (http://www.facebook.com/egalite.bookshop) รวมถึงเว็บบล็อก Exteen (http://egalite.exteen.com/) ซึ่งมีภาพตั้งแต่กระบวนการทำงาน การจัดร้าน มาตั้งแต่ช่วงกลางปี 2553 มาจนถึงช่วงเปิดร้านในปัจจุบันพื้นที่โฆษณาออนไลน์ยังคงใช้ในการประชาสัมพันธ์กิจกรรม รวมถึงเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ ของตัวร้านที่แสดงให้เห็นปฏิสัมพันธ์กับผู้มาเยี่ยมชม
“การก่อรูปของร้านมันมาหลายทาง หนึ่งคือ ทางกายภาพ กับอีกทางหนึ่งคือการเกิดขึ้นของเฟสบุ๊ค” วอร์มแซวว่า ถ้าให้เขียนกิตติกรรมประกาศ คงต้องมีเขียนขอบคุณ มาร์ค ซักเกอร์เบิร์ก “เพราะว่าหลายคนมากรู้จักร้านจากเฟสบุ๊ค แล้วหลายคนมากที่ไม่รู้มาก่อนเลยว่าลำปางคืออะไร ไม่เคยมาลำปางเลย บางคนบอกอยากจะมาลำปางครั้งแรกเพราะร้านนี้ อันนี้ดีใจมาก”
“ร้านมันเกิดขึ้นในจังหวะที่เหมาะสม มีหุ้นส่วนที่เข้าใจกัน มีสภาพสังคมเศรษฐกิจที่ดีในระดับหนึ่ง” วอร์มกล่าว “มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเปิดร้านแบบนี้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ร้านรูปแบบที่ให้คนมากินกาแฟ มาอ่านหนังสือ ยังไม่มีใครรู้จักฟิลล์นี้ แต่ลำปางมันผ่านประสบการณ์ที่มีคนมาใช้สเปซแบบสาธารณะเยอะแล้ว”
วอร์มกลับมาพูดถึงเรื่อง “พื้นที่” ว่านอกจากเฟสบุ๊คแล้วก็จะมีเรื่องของ “โปสการ์ด” มีแผนการจัดนิทรรศการโปสการ์ดโดยจะมีส่งมาทั้งจากทางเฟสบุ๊คและจากทางคนที่รู้จักด้วย “ส่งมาจากทุกทวีปทั่วโลกยกเว้นแอฟริกา ที่ส่งมาแล้วมีทั้งจากฝรั่งเศส ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา แล้วก็มีจากจังหวัดต่างๆ ทั่วทุกภาค ทั้งจากนครศรีธรรมราช, ภูเก็ต, มหาสารคาม, เชียงใหม่, แม่ฮ่องสอน, กรุงเทพมหานคร ฯลฯ”
“ส่วนหนึ่งมันก็เกิดจากเฟสบุ๊คด้วยที่มันสานให้คนเข้ามาใกล้กันมากขึ้น” วอร์มกล่าว “ขณะเดียวกันร้านเรามันก็กลายเป็นหมุดหมายอะไรบางอย่างของคนที่มีความรู้สึกใกล้ๆ กัน เช่นที่กอล์ฟบอกว่าคนที่มาร้านหนังสือมันก็มีเคมีบางอย่างที่มันเข้าถึงเรื่องแบบนี้”
วอร์มพูดถึงกระบวนการเริ่มจัดร้านว่า ร้านของพวกเขามีข้อดีตรงเป็นร้านกระจก พอระบบไฟเสร็จ ก็มีการเปิดหน้าร้าน คนที่ผ่านไปมาก็จะสงสัยว่าเป็นร้านอะไรเพราะในช่วงแรกๆ ขณะกำลังจัดร้านยังดูโล่งๆ “คนก็จะคิดว่าเป็นร้านเหล้าบ้าง ร้านอะไรบ้าง คนเขาจะคุ้นเคยกับสเปซ (พื้นที่) ที่คิดว่าไม่น่าจะเป็นร้านอย่างอื่นได้ พอหลังจากนั้นจึงเริ่มมีหนังสือจัดวางในร้าน ก็มีคนมาซื้อบ้าง จึงค่อนข้างอุ่นใจว่าร้านจะอยู่ได้”
หลังจากที่มีของเข้ามาในร้านมากขึ้น วอร์มบอกว่ามีกลุ่มลูกค้าเข้ามาในร้านหลากหลายมากขึ้น ซึ่งรวมถึงกลุ่มนักศึกษาธรรมศาสตร์ศูนย์ลำปาง “ข้อดีอีกอย่างหนึ่งของร้านเราคืออยู่ติดกับถนนคนเดินทุกวันอาทิตย์ ก็จะมีคนทุกประเภทมาเดิน แต่ตรงนี้จะเป็นต้นทาง...” อย่างไรก็ตามวอร์มคิดว่ากลุ่มลูกค้าที่เป็นกลุ่มนักศึกษาธรรมศาสตร์น่าจะเยอะกว่ากลุ่มอื่นและพวกเขาคาดการณ์ในเรื่องนี้ไว้แล้ว
“หรือบางทีก็มีนักศึกษาแพทย์จากที่อื่นที่มาฝึกงานที่โรงพยาบาลลำปาง เขาก็มาดูร้าน พอเห็นว่ามีกาแฟขายเขาก็มาสั่งกาแฟแล้วเอางานมาทำ ซึ่งเราคาดหวังอยู่แล้วว่าจะเป็นอย่างนั้น แล้วพอคนอื่นเห็นคนนั่งอยู่ก็กล้าที่จะเข้ามาด้วย” วอร์มเล่าให้ฟัง
ข้อดีอีกอย่างหนึ่งคือเวลาเปิดร้าน “ตรงข้างๆ นี้เป็นร้านยำ ร้านขายลูกชิ้น เปิดตั้งแต่ 4 โมงถึง 5 ทุ่ม-เที่ยงคืน ตรงข้ามนี้ก็เป็นร้านขายยา ก็จะมีคนมาซื้อของตั้งแต่ 7 โมงเช้า ทำให้คนเห็นร้านนี้ผ่านตา เริ่มรับรู้ เช่นนักศึกษาธรรมศาสตร์บางคนมาซื้อยาแล้วเห็นร้านก็เลยแวะมา”
“ฉะนั้นในฐานะที่เป็นสเปซ เป็นพื้นที่กลางก็ถือว่าพอใจในระดับหนึ่ง”
หากเปรียบร้าน 'เอกาลิเต้' เป็นหนังสือ ก็จะเป็นหนังสือเรื่อง 'สัญญาประชาคม'
ที่กระจกหน้าร้านนี้มีคำขวัญที่หยิบยืมมาจากหลัก 6 ประการของคณะราษฎร คือ “เอกราช ปลอดภัย เศรษฐกิจ เสมอภาค เสรีภาพ การศึกษา” และมีข้อหนึ่งที่เป็นตัวเน้นอยู่ตรงกระจกหน้าร้าน ก็คือหนึ่งในคำขวัญข้อ “เสมอภาค”
วอร์มอธิบายในจุดนี้ว่า ในมุมแรก คือการที่คนเรามีบุคลิกทางการเมืองในคนละแบบ แต่ต้องหาทางอยู่ร่วมกันได้ “คนที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองมันไม่ใช่เรื่องผิด แต่จะทำอย่างไรให้อยู่ร่วมกันได้ ผมเชื่อว่าอุดมคติเรื่องการเคารพในความเป็นมนุษย์ผมถือว่ามันต้องมีคอนเซปท์ ต้องมีอุดมการณ์อะไรบางอย่างซึ่งผมเลือกที่จะใช้ความเท่าเทียมกันของมนุษย์ คือความเสมอภาค คือความหมายของชื่อร้าน 'เอกาลิเต้' นั่นแหละ”
“ถ้าเปรียบร้านก็องดิดเป็นหนังสือก็คงเป็นหนังสือเรื่อง 'ก็องดิด' แต่ถ้าเปรียบร้านผมเป็นหนังสือก็จะเป็นเรื่อง 'สัญญาประชาคม' (Social Contract) ของ ฌอง ชาค รุสโซ ซึ่งเป็นต้นธารของคณะราษฎร แล้วการที่เรามีคำขวัญของคณะราษฎรก็เพราะว่ามันเป็นหลักสากลที่คิดว่ามนุษย์มีคุณค่าเท่าเทียมกัน”
“อีกอย่างหนึ่งคือมีนัยยะที่จะสะท้อนกลับไปด้วยว่าสิ่งเหล่านี้มันมีเกิดขึ้นแล้วในสังคมไทย ไม่ใช่ว่าร้านผมอยากจะทำก็ทำ” อย่างไรก็ตามวอร์มก็บอกว่าไม่ได้หมายความว่าร้านนี้เป็นกลุ่มการเมืองกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หนังสือที่วางอยู่ในร้านก็ไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นของกลุ่มเสื้อสีใด “เราก็มีหนังสือของทั้งแดงทั้งเหลือง หรือที่ถูกเรียกว่าเป็นสลิ่มหรืออะไรก็แล้วแต่ เป็นพื้นที่ที่เราพยายามจะเปิด แต่ในสังคมไทยตอนนี้มันกลายเป็นปฏิเสธกัน แต่เราจะพยายามมองในมุมที่ผสมผสานกัน”
“มันอาจจะตรงกับคำขวัญที่พี่วอร์มเขียนไว้ว่ามันเป็นพื้นที่ของความเท่าเทียม เป็นพื้นที่ที่อยากเปิดให้ทุกคนเข้ามาเลือกสรรสิ่งที่อยากจะรู้ อยากจะหยิบไป ซึ่งเราก็เสนอให้เป็นพื้นที่ทางเลือกอีกทางหนึ่ง เพราะพื้นที่กระแสหลักอย่างร้านหนังสือใหญ่ๆ ในลำปางก็มีเยอะมาก ซึ่งร้านอย่างเราก็ยังไม่รู้ว่าจะอยู่ได้หรือเปล่าจริง ๆ เพราะหนังสือทำเงินไม่มากนัก เปอร์เซ็นต์น้อย แล้วก็ร้านใหญ่ๆ เขามีหนังสือทุกประเภท แต่ของเราที่คัดมาก็เฉพาะทางพอสมควร แต่ก็ลองดูละ” กอล์ฟกล่าว
ชายหนุ่มทั้ง 2 บอกว่าตนทุ่มทุนในการสร้างร้านนี้จนถึงขั้นว่าจะไม่มีเงินเก็บเหลือ
“แต่ขณะเดียวกัน ผมก็มองว่ามันมีโอกาสเป็นไปได้ทางธุรกิจนะ คือมันเป็นธุรกิจ เพียงแต่เป็นธุรกิจที่ไม่ได้เอาเปรียบคนอื่น” กอล์ฟกล่าว
“ได้กำไรหรือเปล่าไม่แน่ใจ แต่ขอให้อย่างน้อยมันอยู่ด้วยตัวเองได้ คือไม่ใช่ว่าเป็นการกุศล” วอร์มเสริม
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)