คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เรียกส่วนราชการประชุมสางปัญหาชาวบ้านร้องถูกละเมิดสิทธิ พบข้าราชการใส่เกียร์ว่างผ่านมา 1 ปีปัญหาไม่คืบ ปลัดจังหวัดเชียงใหม่ชี้นายอำเภอต้องทำหน้าที่มากกว่าเซ็นหนังสือ แก้ปัญหาให้จบในพื้นที่
ประชาไท - 26 ม.ค. 50 เมื่อวันที่ 24 ม.ค. ที่ห้องประชุมชั้น 4 ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ นาง
กสม.ประชุมเพื่อหาข้อเท็จจริงละเมิดสิทธิ
นาง
"ซึ่งอำนาจหน้าที่ของ กสม. โดยทั่วไปมักจะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปประชุมที่สำนักงานที่กรุงเทพ แต่เพื่ออำนวยความสะดวกทั้งผู้ร้องและส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ประกอบกับที่เชียงใหม่มีกรณีร้องเรียนมาก จึงจัดประชุมที่เชียงใหม่ ซึ่งจัดมาแล้ว 3 ครั้ง มีรองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่มาเป็นประธานร่วมของการประชุม และหลายเรื่องก็คลี่คลายโดยไม่ต้องรอให้หน่วยงานกลางหรือรัฐบาลตัดสินใจ แต่ผู้ว่าราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถปรึกษาหารือเยียวยาแก้ไขความเดือดร้อนของประชาชนได้" นางสุนีกล่าว
ทั้งนี้ ในการประชุมครั้งนี้เพื่อเป็นการติดตามความคืบหน้าในกระบวนการแก้ไขปัญหา มีการทำความเข้าใจ พร้อมทั้งเน้นย้ำกำชับขอความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในการให้ความสำคัญในการดำเนินการแก้ไขปัญหาเพิ่มมากยิ่งขึ้น นางสุนีกล่าว
ส.ป.ก. ยังไม่ไปพบชาวบ้านฝาง ทั้งที่นัดกันมาตั้งแต่ปีที่แล้ว
สำหรับการประชุมในวันนี้ มีประเด็นปัญหาการละเมิดสิทธิที่มีการหยิบยกขึ้นมาหารือในทั้งหมด 11 กรณี โดยกรณีแรก พระสุพจน์ สุวโจ เจ้าอาวาสสำนักสงฆ์มูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ และเป็นพระนักอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติถูกทำร้ายจากบุคคลไม่ทราบกลุ่มและจำนวนเป็นเหตุให้ถึงแก่มรณภาพ ซึ่งประเด็นการหารือวันนี้คือการติดตามความคืบหน้าจากการประชุมกับ กสม. เมื่อวันที่ 11 มกราคมปีที่แล้ว กรณีชาวบ้าน 17 รายไปแจ้งการมอบคืนพื้นที่ ส.ป.ก.โดยทาง ส.ป.ก.ได้บันทึกการแสดงเจตนาจะขอสละสิทธิเพื่อให้มูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ดำเนินการคืนสวนปฏิบัติธรรม และดำเนินการขอใช้พื้นที่ ส.ป.ก.บริเวณดังกล่าวให้ถูกต้อง
อย่างไรก็ตาม ตามที่มติที่ประชุมเมื่อ 11 มกราคม 2549 ได้ขอให้ ส.ป.ก. ลงไปพบชาวบ้านและนัดหมายวัน-เวลา ยื่นคำร้องเพื่อสละสิทธิกับ ส.ป.ก. นั้น นาย
กสม.บอกสับสนครั้งใหญ่ ผ่านไปหนึ่งปีตามหากันไม่เจอ
ซึ่งจากความล่าช้าในการติดตามปัญหาของหน่วยงานราชการนี้เอง ได้ทำให้นาง
พระกิตติศักดิ์ กิตติโสภณโน เจ้าอาวาสสำนักสงฆ์เมตตาธรรมรักษ์ กล่าวว่าชาวบ้านที่แสดงเจตนาไว้เมื่อการประชุมครั้งก่อนยังคงยืนยันที่จะมอบที่ดินให้กับสถานปฏิบัติธรรมโดยการรับผิดชอบของมูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ และล่าสุดมีการตรวจสอบพิกัดด้วยระบบ GPS และทำแผนที่เบื้องต้นไว้พร้อมแล้ว และสามารถทำงานร่วมกับ ส.ป.ก.จังหวัดเชียงใหม่ได้โดยสะดวกขึ้นและชาวบ้านพร้อมนำชี้แนวถ้า ส.ป.ก.จังหวัดเชียงใหม่ติดต่อกลับไป
อย่างไรก็ตามที่ประชุมมีข้อสรุปต่อกรณีดังกล่าวว่าในเดือน ก.พ.นี้ให้ทาง ส.ป.ก.ประสานงานกับหน่วยงานในพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสำนักสงฆ์ ชาวบ้านให้ชัดเจนในการตรวจสอบแนวเขตใหม่ หลังจากนั้นค่อยหาทางออกร่วมกัน
ชาวบ้านร้องอ่างเก็บน้ำท่อตันใช้ไม่ได้ ซวยซ้ำสวนส้มใหญ่ดักสูบน้ำ
กรณีที่ 2 กรณีชาวบ้านห้วยงูใน ต.สันทราย อ.ฝาง เดือดร้อนจากการที่กรมชลประทานสร้างอ่างเก็บน้ำ แต่ท่อส่งน้ำอุดตันนานกว่า 3-4 ปีโดยไม่มีการแก้ไข ขณะที่ผู้ประกอบการสวนส้มกลับดักน้ำด้วยการนำท่อพีวีซีสูบน้ำจากลำห้วยงูไปใช้ทำให้ลำห้วยแห้งขอดจนชาวบ้านเดือดร้อนกันมาก
โดยนาย
ผู้ใหญ่บ้านสุดทนเสนอระเบิดอ่างทิ้ง
เมื่อนาง
"ผู้สูบน้ำมีแต่รายเดิม เจ้าใหม่จะไม่มี อีกอย่างหนึ่งคืออ่าง (อ่างเก็บน้ำ) ตรงนี้มันมีปัญหามานานแล้ว ผมเคยเสนอทางอำเภอแบบคนบ้านๆ ให้ระเบิดอ่างฯ มันทิ้งเสียเพราะไม่มีประโยชน์ มันติดขัดกฎหมายอาญา คือชลประทานสร้างไว้ แต่ชลประทานไม่ได้ใช้ ชาวบ้านใช้ แต่ไม่ได้สร้าง เพราะฉะนั้นก็เลยเกิดปัญหา ปีไหนฝนตกมากน้ำก็ล้นสปริงเวย์ ปีไหนที่ไม่ตกมันก็ไม่ล้น ทำไงได้ละครับ มันก็เกิดปัญหาแบบนี้ ถ้าเราระเบิดเสีย มันก็จะไหลปกติ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าทุกปีเราไม่รู้ว่าฝนจะมากหรือน้อย ก็สุดแต่ฟ้าฝนแล้วกัน" นายพิศิษฐ์กล่าว
ด้านนาง
นายช่างชลประทานแนะทำไม่ได้ ชี้ต้องโอนให้ อบต. ไปจัดการ
ขณะที่นาย
กรณีนี้ที่ประชุมมีมติให้ทาง อบต.สันทราย อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ผู้ใหญ่บ้าน ไปศึกษารายละเอียด ข้อเท็จจริง ตลอดจนปัญหาที่เกิดในพื้นที่แล้วหาทางแก้ไขเท่าที่ทำได้ เพื่อให้กระบวนการจัดการน้ำให้ดีขึ้น
บ้านทับเดื่อรุกน้ำปิง ให้ ตชด. กับ ทสจ. ไปตรวจสอบแนวเขตร่วมชาวบ้าน
กรณีที่ 3 การบุกรุกแม่น้ำปิง อ.แม่แตง ที่ดิน ตชด.บ้านทับเดื่อ ต.อินทขิล อ.แม่แตง ที่ประชุมเห็นว่าให้ทาง ตชด.ร่วมกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด ร่วมกับกำนัน ผู้ใหญ่บ้านและตัวแทนชาวบ้านไปทำการตรวจสอบแนวเขตที่ดินทับซ้อนและจัดการแก้ไขได้เลย และส่งรายงานสรุปผลการปฏิบัติงานให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติด้วย
ตั้งคณะทำงานแก้ปัญหาบ้านตีนธาตุ-นาฮีออกเอกสารสิทธิ์ที่ทำกิน
กรณีที่ 4 ชาวบ้านตีนธาตุ-นาฮี หมู่ 1 บ้านทุ่งโป่ง ต.แม่แรม อ.แม่ริม ขอความเป็นธรรมเรื่องการออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดินนอกเขตป่าสงวนแม่ริมแปลง 1 ที่ประชุมสรุปว่าในวันที่ 6 ก.พ.นี้จะต้องประชุมคณะทำงานระดับอำเภอที่ตั้งขึ้นมาก่อนหน้านี้เพื่อติดตามความคืบหน้าในกระบวนการแก้ไขปัญหา โดยมีอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านป่าไม้และที่ดินระดับจังหวัดร่วมประชุมด้วย
ชาวบ้านโวยทำกินไม่ได้เหตุฝายแม้วกั้นลำน้ำ
กรณีที่ 5 ชาวบ้าน บ้านกองผักปิ้ง บ้านเจียจันทร์ ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว ถูกทหารกองกำลังผาเมืองบ้านแม่จา (ฉก.ม.127) หน่วยอุทยานแห่งชาติเชียงดาว และ อบต.เมืองนะ สร้างฝายแม้วกั้นลำห้วยสันกลางในเขตพื้นที่บ้านกองผักปิ้ง ภายหลังทำพิธีเปิดงาน ได้ให้ผู้ร่วมงานช่วยกันปลูกป่าในที่นาและไร่ของชาวบ้าน 7 รายและติดป้ายประกาศว่า "เขตป่าอนุรักษ์ต้นน้ำ ห้ามเข้าทำกินเด็ดขาด" โดยที่ไม่ได้แจ้งให้เจ้าของที่ดินทราบมาก่อนแต่อย่างใด ทำให้ชาวบ้านเข้าไปทำกินไม่ได้
ผอ.สร้างฝายชี้พื้นที่สร้างฝายเป็นฐานชนกลุ่มน้อยเก่า ทำได้เพียงอนุโลมชาวบ้านทำกิน
นาย
เอ็นจีโอแย้งชาวบ้านอยู่กันมานานแล้ว ชี้ปมเลือกปฏิบัติทำรังวัดทุกบ้านยกเว้นกองผักปิ้ง
นางสาว
นาย
โดยที่ประชุมสรุปว่าชาวบ้านจำนวน 7 รายที่ถูกกระทำอนุโลมให้เข้าทำกินได้ ส่วนที่เหลือค่อยหามาตรการอื่นๆ แก้ไขต่อไป
ร้องออกหนังสือรับรองใช้ประโยชน์ที่ดินทับสถานที่เลี้ยงผีฝายชาวบ้าน
กรณีที่ 6 ต.น้ำแพร่ อ.พร้าว ถูกสหกรณ์นิคมพร้าวออกหนังสือรับรองการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตเหมืองฝายให้เอกชนรายอื่น ทั้งที่พื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตเหมืองฝาย ชาวบ้านใช้ประกอบพิธีเลี้ยงผีฝายทุกปี กรณีที่เกิดขึ้นทำให้ชาวบ้านไม่สามารถทำพิธีเลี้ยงผีฝายได้นั้น
นาย
โดยที่ประชุมสรุปว่า ในสัปดาห์หน้าให้ทางนายก อบต.น้ำแพร่ ประสานงานกับนายอำเภอพร้าว รวมทั้งผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดไปชี้และรังวัดแนวเขตของเขตพื้นที่เหมืองฝายใหม่ แล้วหาทางแก้ไขทำให้ถูกต้อง
ไนท์ซาฟารีทับที่ชาวบ้านคืบ สั่งการให้หารือร่วมชาวบ้านที่ อ.หางดง
กรณีที่ 7 นาง
อุทยานสุเทพ-ปุยทับที่ชาวบ้านแม่เหียะใน ให้ไปคุยที่อำเภอเมือง เชียงใหม่
กรณีที่ 8 กรณีการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติสุเทพ-ปุยทับพื้นที่ชาวบ้านแม่เหียะใน อ.เมือง จ.เชียงใหม่ จนทำให้นางนงนุช ศรีพันธ์ลมถูกฟ้องร้องดำเนินคดี ที่ประชุมสรุปว่าเรื่องนี้ให้ทางสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 รับไปพิจารณาข้อมูลและหาทางแก้ไขให้ชาวบ้าน และในวันที่ 25 มกราคมนี่ปลัดจังหวัด และอุทยานแห่งชาติสุเทพ-ปุย และนาง
บ้านนาอ่อน เวียงแหง ร้องถูกอพยพ ตัวแทนอำเภอชี้แจง
กรณีที่ 9 การอพยพชาวบ้านนาอ่อน ม.1 ต.เปียงหลวง อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่ ถูกบังคับให้อพยพออกจากหมู่บ้านนั้น
นาย
ทางราชการเคยขอให้ราษฎรบ้านนาอ่อนย้ายกลับไปแต่ก็ไม่ยอมย้าย และมีราษฎรอพยพมาเพิ่มอีก มาไกลจาก อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน ก็มีจนมีถึง 15 หลังคาเรือน 48 คน ชาย 28 คน หญิง 20 คน ถ้าปล่อยให้ทำกินไปเรื่อยๆ ป่าจะถูกบุกรุกมากขึ้นราชการและทหาร ร.7 พัน 2 ผู้อำนวยการโครงการในพระราชดำริ พ.อ.เกษม วังสุนทร เข้าประชุมกันที่ อ.เวียงแหง เมื่อวันที่ 16 พ.ย. 2549 สรุปให้ผู้ใหญ่บ้าน ม.1 บ้านเปียงหลวง นายเตงยุ่น ผายนาง ผู้ใหญ่บ้าน ม.6 บ้านแปกแซม ให้เจรจากับชาวบ้านนาอ่อนให้อพยพออกไป โดยทาง อบต.เปียงหลวง จะสนับสนุนรถในการขนย้าย โดยให้ช่วง 17-30 พ.ย. 2549 ทำการรื้อถอนบ้านเรือน ไม่เช่นนั้นจะดำเนินการทางกฎหมาย แต่นาย
ที่ประชุมสรุปตั้งคณะทำงานแก้ปัญหาภายในมกราคมนี้
นาย
นาย
โดยที่ประชุมสรุปว่าต้องตั้งคณะกรรมการร่วมในการพิจารณาแก้ไขปัญหาโดยให้นายอำเภอเวียงแหงเป็นประธานให้แล้วเสร็จภายในเดือน ม.ค.นี้
บ้านห้วยโป่งร้องไม่มีเอกสารสิทธิ์ในที่ทำกิน ทสจ.ลงตรวจสอบข้อเท็จจริง
กรณีที่ 10 กรณีราษฎรบ้านห้วยโป่ง หมู่ที่ 10 ต.ศรีดงเย็น อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่ ร้องเรียนว่าได้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านมาตั้งแต่ปี 2500 มีประชาการ 240 คน แต่ปัจจุบันที่ดินบริเวณหมู่บ้านกลายเป็นพื้นที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งราษฎรส่วนใหญ่มีเอกสารสิทธิที่ดินทำกิน (สทก.) เฉพาะส่วนที่อยู่อาศัย แต่ในส่วนที่ดินทำกินไม่มีเอกสารหลักฐานอื่นใด ที่ประชุมสรุปว่าให้ทางสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 และทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่ (ทสจ.) ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง
ผญบ.ชี้จับชาวบ้านห้วยโก๋น บอกจะพาไปรังวัดที่แล้วไปต่อที่โรงพัก
และกรณีที่ 11 การจับกุมชาวบ้านห้วยโก๋น อ.พร้าว ข้อหาบุกรุกป่า ซึ่งปัจจุบันคดีอยู่ในชั้นอัยการนั้น
นาย
โดยที่ประชุมสรุปว่าจะมีการไปดูสำนวนห้องของอัยการ เพื่อเตรียมการต่อสู้ในชั้นศาลต่อไป
สุนี ไชยรส กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (ซ้าย) และนาย
กรรมการสิทธิชี้ผ่านไป 1 ปีไม่คืบ ราชการอ้างติดขัดกฎระเบียบ
หลังการประชุม นาง
จะประสานผู้ว่าฯ เชียงใหม่เพื่อให้การแก้ปัญหาคืบหน้า
อย่างไรก็ตาม นางสุนี กล่าวต่อว่า กรณีปัญหาทั้งหมดจะมีการประสานงานกับผู้ว่าราชการ จ.เชียงใหม่เพื่อให้เกิดความคืบหน้าในการดำเนินการแก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่ด้วย ซึ่งอาจจะมีการมอบหมายความรับผิดชอบต่อให้แก่รองผู้ว่าราชการ จ.เชียงใหม่ รวมทั้งนาบอำเภอร่วมดูแลรับผิดชอบด้วย ซึ่งเชื่อว่า น่าจะส่งผลดีทำให้การแก้ไขปัญหามีความรวดเร็วยิ่งขึ้น เพราะมีการกำกับติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาอย่างใกล้ชิด และน่าจะช่วยให้ปัญหาในหลายกรณีสามารถไกล่เกลี่ยกันได้ตั้งแต่ระดับพื้นที่ แทนที่จะกลายเป็นปัญหาลุกลามใหญ่โต
นาย
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)