Skip to main content
sharethis

นณริฎ พิศลยบุตร นักวิชาการ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย

13 ม.ค. 2560 จากกรณีเมื่อ 11 ม.ค. ที่ผ่านมา มติชนออนไลน์ รายงานตอนหนึ่งว่า สมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลังน้อยใจมาก ที่เอกชนไม่ลงทุนเมื่อปีที่แล้ว ให้มาตรการภาษีแบบไม่เคยให้มาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย อ้อนวอน ประชาสัมพันธ์ก็แล้ว ด้านเอกชนบอกว่า เราอ่อนประชาสัมพันธ์ เพื่อให้เราเป็นแพะ เราก็ยอม เราไม่เข้าใจว่าทำไมเอกชนไม่ลงทุน แต่เราพอใจว่ามันเป็นอุปสงค์ อุปทาน ถ้าไม่มีความมั่นใจก็จะไม่ลงทุน นั้น

วันนี้ (13 ม.ค.60) นณริฎ พิศลยบุตร นักวิชาการ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย เผยแพร่บทความชื่อ 'การพัฒนาปัจจัยเชิงสถาบันเพื่อสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนลงทุน'  กล่าวถึงคำให้สัมภาษณ์ของ ปลัดกระทรวงการคลังดังกล่าวว่า มูลเหตุที่เป็นไปได้ ที่ทำให้ภาคเอกชนตัดสินใจที่จะไม่ลงทุน แม้ว่าภาครัฐจะให้สิทธิประโยชน์อย่างมากมาย โดยสาเหตุที่อยากจะนำเสนอก็คือ การขาดการสร้างปัจจัยเชิงสถาบัน ที่เหมาะสมในการสนับสนุนการลงทุน เช่น ภาครัฐยังมุ่งเน้นที่จะผลักดันการลงทุนผ่านการให้แรงจูงใจทางด้านการเงินเป็นหลัก และขาดความต่อเนื่องในเป้าหมายที่สนับสนุน รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐที่ดูแลในแต่ละด้านจะมีความชำนาญเป็นพิเศษเฉพาะในด้านที่ตัวเองมีอำนาจหน้าที่ ทำให้ไม่สามารถที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในภาคธุรกิจซึ่งมีความซับซ้อนในหลายๆด้านได้

"การจะตีความว่าปัจจัยทางด้านการเมืองเป็นเหตุผลสำคัญที่นำไปสู่การตัดสินใจไม่ลงทุนอาจจะเป็นการด่วนตัดสินใจมากเกินไป เพราะหลักฐานเชิงประจักษ์ได้บ่งชี้ว่าความเป็นเผด็จการในไทย มิได้นำมาซึ่งการกดขี่ภาคธุรกิจ แต่กลับเป็นการดึงเอาภาคีธุรกิจเข้าไปร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนา ดังจะเห็นได้จากการที่ภาครัฐได้ดึงเอานักธุรกิจเข้าไปร่วมในคณะทำงานในหลายๆ ด้าน" นณริฎ ระบุ ในบทความ

โดยรายละเอียดของบทความมีดังนี้ : 

การพัฒนาปัจจัยเชิงสถาบันเพื่อสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนลงทุน
 
นณริฎ พิศลยบุตร
นักวิชาการ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย

ไม่กี่วันที่ผ่านมามีข่าวที่น่าสนใจข่าวหนึ่งก็คือ ข่าวที่ปลัดกระทรวงการคลังออกมาให้สัมภาษณ์ว่าภาครัฐได้ให้สิทธิประโยชน์มากเป็นประวัติการณ์ แต่ภาคเอกชนก็ยังไม่ยอมลงทุน โดยมีนักวิชาการออกมาให้เหตุผลว่าภาคเอกชนยังขาดความเชื่อมั่น ซึ่งเชื่อมโยงไปถึงประเด็นระบบการเมืองและความเป็นประชาธิปไตย

โดยส่วนตัว ผู้เขียนมองว่าเหตุผลที่อธิบายดังกล่าว แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้เนื่องจากมีความสอดคล้องกับทฤษฎีทั้งในสาขาเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์ แต่กระนั้นการจะตีความว่าปัจจัยทางด้านการเมืองเป็นเหตุผลสำคัญที่นำไปสู่การตัดสินใจไม่ลงทุนอาจจะเป็นการด่วนตัดสินใจมากเกินไป เพราะหลักฐานเชิงประจักษ์ได้บ่งชี้ว่าความเป็นเผด็จการในไทย มิได้นำมาซึ่งการกดขี่ภาคธุรกิจ แต่กลับเป็นการดึงเอาภาคีธุรกิจเข้าไปร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนา ดังจะเห็นได้จากการที่ภาครัฐได้ดึงเอานักธุรกิจเข้าไปร่วมในคณะทำงานในหลายๆด้าน
 
ในบทความนี้ ผู้เขียนอยากจะเสนออีกหนึ่งมูลเหตุที่เป็นไปได้ ที่ทำให้ภาคเอกชนตัดสินใจที่จะไม่ลงทุน แม้ว่าภาครัฐจะให้สิทธิประโยชน์อย่างมากมาย โดยสาเหตุที่อยากจะนำเสนอก็คือ การขาดการสร้างปัจจัยเชิงสถาบัน (institution) ที่เหมาะสมในการสนับสนุนการลงทุน ซึ่งสามารถจะอธิบายประเด็นปัญหาได้ดังนี้
 
ปัญหาที่หนึ่งก็คือ ภาครัฐยังมุ่งเน้นที่จะผลักดันการลงทุนผ่านการให้แรงจูงใจทางด้านการเงินเป็นหลัก โดยมิติในการสนับสนุนด้านอื่นๆ กลับเป็นเพียงส่วนเสริมมากกว่าที่จะเป็นข้อเสนอแบบเป็นชุด (package) ที่สอดคล้องกับความต้องการของธุรกิจ
 
ปัญหาที่สองก็คือ ภาครัฐขาดความต่อเนื่องในเป้าหมายที่สนับสนุน โดยในอดีตที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าอุตสาหกรรมที่สนับสนุนมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอตามนโยบายของพรรคการเมือง เมื่อพรรคการเมืองใหม่เข้ามาเลือกตั้งก็จะมีการปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น จากเดิมที่สนับสนุนการผลิตรถยนต์ Eco car เป็นหลักก็เริ่มเปลี่ยนมาเป็นรถไฟฟ้า เป็นต้น
 
ในประเด็นนี้แม้ว่าภาครัฐจะได้มีการวางยุทธศาสตร์ 20 ปีเพื่อแก้ไขปัญหาเรียบร้อยแล้ว แต่รูปแบบการสนับสนุนอุตสาหกรรมเป้าหมายยังขาดกลไกการตรวจสอบที่ชัดเจน เช่น การขาดการวางเป้าหมายที่จับต้องได้ในระยะสั้น-กลาง-ยาว ว่าการสนับสนุนอุตสาหกรรมดังกล่าวมีเป้าหมายที่เห็นได้ชัดถึงการพัฒนาที่ชัดเจนได้อย่างไร การขาดกลไกการประเมินผลทำให้ภาครัฐขาดข้อมูลที่เหมาะสมในการสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ
 
กลไกการประเมินผลยังมีความสำคัญ เนื่องจากปัจจุบันการพัฒนาอุตสาหกรรมอยู่ในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอก ซึ่งทำให้กลุ่มอุตสาหกรรมที่เคยมีศักยภาพในอดีตอาจจะไม่มีความเหมาะสมภายใต้สถานการณ์ใหม่ๆ ในขณะเดียวกันก็อาจจะมีอุตสาหกรรมใหม่ๆที่มีความเหมาะสมเพิ่มมากขึ้นก็เป็นได้
 
นอกจากนี้ กลไกการประเมินผลยังช่วยให้ภาครัฐลดความเสี่ยงที่จะถูกกลุ่มผลประโยชน์ที่จะเข้ามาผลักดันการสนับสนุนอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพที่ต่ำกว่าโดยเปรียบเทียบ ทำให้ภาครัฐสูญเสียโอกาสที่จะผลักดันอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพมากกว่าอย่างแท้จริงไป
 
ปัญหาที่สามก็คือ หน่วยงานภาครัฐที่ดูแลในแต่ละด้านจะมีความชำนาญเป็นพิเศษเฉพาะในด้านที่ตัวเองมีอำนาจหน้าที่ ทำให้ไม่สามารถที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในภาคธุรกิจซึ่งมีความซับซ้อนในหลายๆด้านได้ ตัวอย่างเช่น ธุรกิจนอกจากจะต้องการแรงจูงใจทางด้านการเงินแล้ว อาจจะต้องการการพัฒนาบุคลากร การสนับสนุนการทำวิจัยและพัฒนา การสนับสนุนในโครงสร้างพื้นฐานทั้งที่เป็นกฎระเบียบ กฎหมายและที่เป็นสิ่งก่อสร้าง รวมไปถึงการดึงบุคลากรที่ชำนาญการเฉพาะทางจากสถาบันวิจัย มหาวิทยาลัยหรือจากต่างประเทศ ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ภาคธุรกิจส่วนหนึ่งบ่งชี้ถึงปัญหาความแตกต่างกันระหว่างกฎระเบียบ ข้อบังคับและมาตรฐานต่างๆระหว่างหน่วยงานที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนยังปรากฏอยู่
 
กล่าวโดยสรุป ผู้เขียนมองว่าปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ภาคเอกชนยังลังเลที่จะลงทุน มาจากการขาดระบบการสนับสนุนการลงทุนที่ดีซึ่งทำให้เอกชนเกิดความไม่แน่ใจและไม่กล้าที่จะลงทุน
 
สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหานั้น ผู้เขียนมองว่าการที่จะแก้ไขปัญหาทั้งสามข้างต้นจะสามารถผลักดันได้ต้องอาศัยการกำหนดเจ้าภาพ เป็นหน่วยงานภาครัฐ หรืออาจจะอาศัยคณะทำงานพัฒนาอุตสาหกรรมเพื่อทำหน้าที่สนับสนุนการลงทุนอย่างเบ็ดเสร็จ โดยให้ข้อเสนอแบบเป็นชุด (package) ที่สอดคล้องกับประเด็นความต้องการของภาคธุรกิจในทุกๆด้าน ในขณะเดียวกันองค์กรเจ้าภาพก็ต้องทำหน้าที่ในการตรวจสอบประเมิน และกำหนดเป้าหมายร่วมกับภาคเอกชนในระยะสั้น-กลาง-ยาว เพื่อให้มั่นใจได้ว่าการพัฒนาอุตสาหกรรมมีความต่อเนื่อง มีความก้าวหน้าในระดับที่เหมาะสม และมีความเหมาะสมกับสถานการณ์ต่างๆที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างแท้จริง

 

หมายเหตุ : มีการปรับพาดหัวข่าว จาก "TDRI ชี้เอกชนไม่ลงทุน เหตุรัฐหนุนแต่การเงิน ขาดนโนบายต่อเนื่อง ไม่ใช่ความเป็นเผด็จการ" เป็นที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ เมื่อเวลา 21.00 น 13 ม.ค.60

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net