ในอดีตเมื่อสยามประเทศเริ่มเปิดการค้าเสรีกับชนชาติตะวันตก จนกระทั่งการค้าได้เจริญรุดหน้าถึงระดับหนึ่ง ต่อมาจึงได้เกิดข้อตกลงทางการค้าระหว่างประเทศขึ้นภายใต้การบีบบังคับของนักล่าอาณานิคม หลังจากนั้นสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง (Bowring Treaty) จึงได้ถือกำเนิดขึ้นในปี พ.ศ. 2398 โดยมีเนื้อหาสาระที่สำคัญ คือ การปรับเปลี่ยนกฎระเบียบการค้าให้มีมาตรฐานสากลมากขึ้นทั้งระบบการนำเข้าและการส่งออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบจัดเก็บภาษี เช่น การกำหนดอัตราภาษีขาเข้าของสินค้าทุกประเภทอยู่ที่ร้อยละ 3 เป็นต้น ซึ่งเพิ่มเติมรายละเอียดจากสนธิสัญญาฉบับแรก คือ สนธิสัญญาเบอร์นี (Burney Treaty) ที่ได้ลงนามไว้เมื่อ พ.ศ. 2369
กาลเวลาล่วงเลยผ่านมาถึงปัจจุบัน การค้าเสรีหรือระบบทุนนิยมก็ยังไม่ได้ลงหลักปักฐานอย่างเต็มรูปแบบในสังคมไทยเสียที ในความเสรีก็มีความไม่เสรีอยู่เป็นจำนวนมาก ความเป็นไปของระบบเศรษฐกิจถูกกำกับควบคุมโดยกลุ่มคนเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้น และคนกลุ่มนี้คือ กลุ่มเครือข่ายบรรดาอำมาตย์และพวกพ้องที่ทรงพลังในการตักตวงผลประโยชน์ซึ่งเป็นส่วนเกินทางเศรษฐกิจไว้มากที่สุด โดยข้อเท็จจริงแล้ว ระบบเสรีนิยมจะมีความก้าวหน้าและแพร่กระจายในวงกว้าง รวมทั้งลงลึกสู่ระดับสังคมชาวบ้านได้ ก็ต่อเมื่อมีปัจจัยที่เป็นตัวแปรหรือสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเจริญเติบโต นั่นก็คือ ระบอบประชาธิปไตย นั่นเอง ซึ่งเป็นระบอบที่ทุกคนเข้าใจสิทธิ เสรีภาพและหน้าที่ของตนเอง รวมทั้งไม่ไปละเมิดสิทธิ เสรีภาพและหน้าที่ของผู้อื่นด้วย
ระบอบประชาธิปไตยนั้นจะเติบโตขึ้นในใจประชาชนได้ต้องผ่านการพิสูจน์ด้วยระยะเวลา ผ่านการลองผิดลองถูก เกิดการเปลี่ยนผ่านตามวิถีทางการเลือกตั้งด้วยความสงบเรียบร้อย เพื่อจะกลายเป็นสังคมที่มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและถกเถียงกันถึงปัญหารอบตัว แล้วจึงมุ่งหาทางออกและข้อสรุปร่วมกันอย่างมีเหตุผล มีการยอมรับผลการตัดสินใจของเสียงข้างมาก ในขณะเดียวกันก็เคารพเสียงข้างน้อยด้วย ใจความสำคัญ ก็คือ ทุกคนมีสิทธิ์และเสียงเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะยากดีมีจนหรืออยู่ในสถานะใด
นับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา สังคมไทยก็ยังเปลี่ยนไม่ผ่านเพื่อไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง ทั้งๆ ที่ผ่านการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอย่างประเมินค่ามิได้มาหลายครั้งแล้ว แต่ประชาธิปไตยแบบไทยๆ ที่กลุ่มชนชั้นปกครองมักกล่าวอ้างและพร่ำบอก สร้างภาพฝันในวิมานว่า เป็นระบอบที่สอดคล้องกับประวัติศาสตร์ สังคม และวัฒนธรรมของไทย แต่นั่นก็เป็นแค่เพียงเปลือกนอกที่ดูดีและมีไว้เพื่ออวดอ้างกับนานาอารยประเทศว่า สยามประเทศนั้นมีความศิวิไลซ์และเจริญก้าวหน้าทัดเทียมกับประเทศตะวันตก แต่เนื้อแท้ข้างในยังคงเป็นสังคมศักดินาแบบพวกพ้องและมีระบบอุปถัมภ์ตามลำดับชั้นที่เกาะเกี่ยวกันอย่างแข็งแกร่งและแน่นหนา จนสามารถควบคุมและปกครองคนจากส่วนบนสุด ซึมลึกลงไปถึงระดับรากหญ้าได้อย่างมั่นคง จึงเป็นระบบที่กีดกันคนส่วนใหญ่ให้ออกไปเป็นคนชายขอบแห่งการพัฒนา แต่ในขณะเดียวกัน ก็เอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มคนจำนวนหนึ่งในสังคมชั้นสูงลงมาถึงชนชั้นกลางบน ผู้ปวารณาตนเป็นผู้พิทักษ์รับใช้ที่ซื่อสัตย์และแสนดี
เหตุใดและทำไม ระบอบประชาธิปไตยจึงเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดในการพัฒนาระบบทุนนิยมให้เจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคงและมั่งคั่ง
เหตุใดและทำไม ระบบทุนนิยมจึงต้องแปรผันตามระดับความเข้มข้นของความเป็นประชาธิปไตยด้วย
เมื่อมวลมนุษยชาติได้เข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์อย่างเต็มตัวภายใต้ระบบทุนนิยมที่เป็นหนึ่งในกลไกการพัฒนาโลกสมัยใหม่แล้ว การค้าระหว่างประเทศเองก็ได้เชื่อมโยงกันอย่างแนบแน่นทั้งเรื่องการค้า การเงิน และการลงทุนในแบบวินาทีต่อวินาที ซึ่งกลไกสำคัญนี้ต้องอาศัยระบบตลาดแข่งขันเสรีเป็นองค์ประกอบด้วย จึงจะเกื้อหนุนต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างมีพลวัต อีกทั้งสามารถพยากรณ์ได้ตามหลักอุปสงค์และอุปทาน เพราะทุกการตัดสินใจของหน่วยย่อยทางสังคมต้องมีตรรกะและเหตุผลมารองรับเสมอ ระบบทั้งหมดจึงจะไหลเวียนต่อเนื่องอย่างไม่มีสะดุดหรือหยุดชะงัก แต่การพัฒนาระบบทุนนิยมของไทยก็ยังติดอยู่ในระยะเแรกเริ่มที่ก้าวไม่พ้นระบบทุนนิยมศักดินาล้าหลังเสียที ซึ่งเครือข่ายบรรดาอำมาตย์และพวกพ้องยังแอบอยู่หลังฉากคอยสั่งการอยู่เรื่อยมา เปรียบเปรยเหมือนมือที่มองไม่เห็น ที่จำกัดขอบเขตความเจริญไว้ภายในกรุงเทพเมืองฟ้าอมร และคอยขัดขวางการกระจายความเจริญออกไปสู่สังคมส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสังคมชนบท
เครือข่ายนี้ได้สร้างความสัมพันธ์ต่างตอบแทนอย่างแนบชิดสนิทแน่นเพื่อจัดสรรและแบ่งปันผลประโยชน์ทางการเมืองและเศรษฐกิจอย่างลงตัว จนในที่สุดกลายเป็นกลุ่มศักดินาย้อนยุคที่สามารถครอบงำความเป็นไปของสังคมและยึดกุมอำนาจการตัดสินใจในนโยบายสาธารณะมาอย่างยาวนาน ดังนั้นจึงไม่ต้องการเปิดโอกาสและพื้นที่ให้กลุ่มคนและกลุ่มทุนรุ่นใหม่ได้เข้ามาแบ่งปันผลประโยชน์ทางการเมืองและเศรษฐกิจแต่อย่างใด ซึ่งโดยข้อเท็จจริงแล้ว หากเศรษฐกิจมีอัตราการขยายตัวที่สูงขึ้น ดอกผลและผลพลอยได้ทางเศรษฐกิจนั้นกลุ่มศักดินาย้อนยุคนี้จะเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับผลประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมอย่างมหาศาล และได้มากกว่าที่กลุ่มทุนรุ่นใหม่จะได้ด้วย เนื่องจากครอบครองทั้งแหล่งทุน เทคโนโลยี ส่วนแบ่งการตลาดและช่องทางการจำหน่ายไว้หมดแล้ว แต่ทำไมคนกลุ่มนี้จึงยังไร้น้ำใจ และไร้ซึ่งความปราณีที่จะเกื้อกูลสังคมให้เป็นปรกติสุขในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
เมื่อระดับความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจเติบโตขึ้นมาตามลำดับ ตามการพัฒนาของเศรษฐกิจโลกนั้น สังคมไทยได้ก่อเกิดชนชั้นกลางรุ่นใหม่ที่มีแนวคิดก้าวหน้า รวมทั้งชนชั้นล่างได้รับการศึกษาที่สูงขึ้น มีเทคโนโลยีการสื่อสารที่มีราคาถูก ทำให้เข้าถึงข้อมูลที่หลากหลายและรวดเร็วมากขึ้น ต้องการอิสระในการเลือกมากขึ้น ไม่ต้องการการชี้นำจากชนชั้นสูงอีกต่อไป ทั้งนี้เพื่อเติมเต็มความภาคภูมิใจในตนเอง ดังนั้นจึงต้องการเข้ามามีส่วนร่วมในพื้นที่สาธารณะทางการเมืองมากขึ้น เหตุปัจจัยต่อมาจึงเกิดปรากฏการณ์ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มคนรุ่นเก่ากับกลุ่มคนรุ่นใหม่ ผ่านระบบตัวแทนในระบอบประชาธิปไตยมาเป็นระยะ แต่ภายหลังจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 บังคับใช้ ความขัดแย้งก็ได้ลุกลามบานปลายและขยายตัวทวีคูณขึ้น จนกระทั่งในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ได้กลายเป็นวิกฤติที่ร้าวลึกไปทุกหย่อมหญ้า ลงลึกถึงระดับครอบครัว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะถอดสลักความขัดแย้งครั้งนี้ได้ หรืออาจต้องรอการพังทลายลงของระบบเก่าด้วยตัวของมันเองก่อน ประชาธิปไตยแบบเต็มใบจึงจะเบ่งบานขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
1) ทุนนิยมแบบพรรคพวกและเพื่อนพ้อง และ 2) การคอร์รัปชั่น นักวิชาการให้นิยามว่า 2 คำนี้มีความหมายใกล้เคียงกันมากจนแยกจากกันไม่ออก บางครั้งกล่าวได้ว่า เป็นเรื่องเดียวกัน เป็นสิ่งที่ส่งเสริมและสนับสนุนให้เติบโตไปด้วยกัน รวมทั้งเป็นเหตุปัจจัยของกันและกัน เมื่อเหตุหนึ่งเกิด อีกเหตุหนึ่งจึงเกิด ดังนั้นอาจจะให้คำจำกัดความว่า เป็นการใช้อำนาจรัฐโดยอาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัวเพื่อหาประโยชน์ให้กับตนเอง ครอบครัว และบุคคลใกล้ชิด ด้วยการใช้อำนาจหน้าที่เข้าแทรกแซงการทำงานของตลาด เช่น การกำหนดเงื่อนไขลดหย่อนภาษี , การให้สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษ , การให้เงินอุดหนุนหรือสิทธิพิเศษในการลงทุน , การออกกฎเกณฑ์ข้อบังคับให้ตลาดต้องปฏิบัติตาม หรือยกเว้นกฎเกณฑ์บางอย่างที่ทำให้กลุ่มของตนเสียผลประโยชน์ เป็นต้น ในท้ายที่สุดก็นำมาซึ่งการชักใยอยู่เบื้องหลังเพื่อสร้างอุปสรรคกีดขวางการเข้าสู่อำนาจรัฐของฝ่ายตรงข้าม อีกทั้งสร้างระบบผูกขาดในการจัดสรรนโยบายและงบประมาณทั้งในส่วนการเมือง เศรษฐกิจและสังคม โดยมีเปลือกนอกของการค้าเสรีห่อหุ้มเอาไว้อย่างแยบยล หรือมองอีกมุมหนึ่ง ก็เป็นปีศาจในคราบนักบุญในระบบทุนนิยมหลอกลวงนั่นเอง และก็มีแต่ระบอบประชาธิปไตยเท่านั้นที่จะกำจัด 2 คำนี้ให้ออกไปจากสังคมได้ ถึงแม้ตัวระบอบเองจะไม่สมบูรณ์ 100% แต่อย่างน้อยที่สุดก็เป็นระบอบที่ช่วยลดความขัดแย้งของคนส่วนใหญ่ หาจุดร่วมตรงกลางที่ทุกคนยอมรับได้ และทำให้สังคมเดินหน้าต่อไปไม่มีสะดุดล้ม
โดยพื้นฐานแล้ว ระบอบประชาธิปไตยจะให้อิสระทางความคิดและการกระทำ ซึ่งสอดคล้องกับระบบตลาดแบบเสรี การตัดสินใจที่มีเหตุผลของปัจเจกชนจะก่อให้เกิดการพัฒนากิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างสร้างสรรค์ เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการที่ดีที่สุดให้สังคมตามความถนัดเฉพาะทาง , ตามการแบ่งงานกันทำ หรือตามความสามารถในการแข่งขันโดยเปรียบเทียบ ท้ายที่สุดแล้ว สังคมโดยรวมจะได้รับอรรถประโยชน์สูงสุดจากการแข่งขันที่เกิดขึ้น ภายใต้กฎระเบียบ ข้อตกลงเดียวกันและการไม่เลือกปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่รัฐผู้รักษากฎหมาย สรุปได้ก็คือ ต้อง Free and Fair ด้วย ดังนั้นเมื่อทุกส่วนย่อยของสังคมดีแล้ว สังคมโดยรวมก็จะดีขึ้นเองตามลำดับ
สภาพแคระแกร็นของระบอบประชาธิปไตยที่ถูกตัดทอนความสำคัญตลอดมา จะส่งผลกระทบเชิงลบในระยะยาวต่อระบบทุนนิยม เนื่องจากระบบนี้จะอาศัยความเชื่อมั่นของประชาชนและนักลงทุนเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันและขับเคลื่อนกลไกการพัฒนา เพราะหัวใจของระบอบประชาธิปไตยก็คือ การคาดการณ์ผลที่จะเกิดขึ้นได้ และเปิดโอกาสการต่อรองและจัดสรรผลประโยชน์บนโต๊ะเจรจาที่ทุกคนมีส่วนร่วมออกความคิดเห็นได้ ซึ่งตรงข้ามกับระบอบเผด็จการ นักวิชาการรุ่นใหม่ได้ให้นิยามว่า หัวใจของระบอบเผด็จการก็คือ ความไม่แน่นอนและคาดการณ์ไม่ได้ จึงทำให้สังคมตกอยู่ในสภาพหวาดผวา มีความคลุมเครือ มองเห็นภาพไม่ชัดเจน เกิดความสับสนอลหม่าน จนสามารถสร้างภาพหลอนและจูงใจประชาชนให้เดินลงเหวได้ด้วยความเต็มใจ และขั้นตอนสุดท้ายก็คือ การดึงอำนาจตัดสินใจจากมือประชาชนกลับมาอยู่ในมือคนกลุ่มเดียวได้อย่างแนบเนียน
หรืออีกนัยหนึ่งอาจกล่าวได้ว่า ชนชั้นผู้ถูกกดขี่และชนชั้นใต้ปกครอง จึงมีความหวังว่าระบอบประชาธิปไตยจะเป็นทางออกและเป็นหนทางในการมีชีวิตที่ดีขึ้น ในขณะเดียวกัน ชนชั้นผู้ปกครองก็ต้องการรักษาอำนาจของตนให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ผ่านระบอบเผด็จการล้าหลังเช่นกัน
กับดักการพัฒนาทุนนิยมของไทย คือ การขาดความต่อเนื่องในระบอบประชาธิปไตย เนื่องจากถูกระบอบเผด็จการทหารเข้ายึดอำนาจมาเป็นระยะๆ ถือเป็นการกัดเซาะและบ่อนทำลายการพัฒนาเนื้อหาประชาธิปไตยที่จะลงลึกถึงจิตวิญญาณของสังคม ทั้งยังกัดกร่อนโครงสร้างระบบถ่วงดุลอำนาจและการตรวจสอบของสังคมอีกด้วย
หากระบอบประชาธิปไตยได้เจริญงอกงามขึ้นในสังคมไทยแล้วไซร้ ระบบศักดินา ระบบเจ้าขุนมูลนาย ระบบไพร่ทาส ที่ยังคงฝังรากลึกในจิตใต้สำนึกและยืนยงคงอยู่กับสังคมไทยมาเนิ่นนาน คงจะถูกชะล้างให้หมดสิ้นไปอย่างเป็นขั้นตอนเสียที
ภายหลังรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2559 ได้ผ่านการลงประชามติและรอเพียงการประกาศใช้เท่านั้น ภาพความหวังเพื่อก้าวให้พ้นอุปสรรคในการพัฒนาประชาธิปไตยโดยคนส่วนใหญ่ ก็ดูจะเลือนลางและจางหายลงไปทุกที ทั้งยังมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์อีกด้วย และด้วยสภาพเศรษฐกิจที่ซบเซาจนดูคล้ายกับว่าหยุดนิ่งและชะงักงัน ความเชื่อมั่นของประชาชนก็ดูจะหมดหวังและริบหรี่อย่างบอกไม่ถูก ที่สำคัญราคาพืชผลการเกษตรก็ตกต่ำเป็นประวัติการณ์เมื่อเปรียบเทียบกับหลายปีที่ผ่านมา รวมทั้งอัตราการส่งออกก็ติดลบยาวนานกว่าที่เคยมีมาในอดีต
แล้วความหวังและความฝันอันใดเล่า จะช่วยชะโลมจิตใจให้ผ่อนคลายหายเหนื่อยจากการตรากตรำทำงานหนักภายใต้แอกที่ถูกเทียมไว้ และรอคอยวันถูกปลดปล่อยเป็นอิสระ
แล้วความหวังและความฝันอันใดเล่า จะนำมาซึ่งกำลังใจและแรงใจเพื่อให้คนส่วนใหญ่มีความหวังกับชีวิต ที่จะมีโอกาสลืมตาอ้าปากเพื่อขยับสถานะความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น และพร้อมจะร่วมแรงร่วมใจฟันฝ่าอุปสรรคที่ยากเข็ญไปด้วยกัน
แล้วความหวังและความฝันอันใดเล่า จะนำมาซึ่งความผาสุกของพี่น้องเกษตรกร ชาวนา ชาวไร่ ผู้ใช้แรงงาน รวมทั้งสามัญชนคนทั่วไปที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ หรือต้องรอให้ถึงยุคพระศรีอาริย์ก่อนก็เป็นได้ จึงจะเกิดดุลยภาพทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมอย่างแท้จริงเสียที
0000