Skip to main content
sharethis

25 ส.ค. 2559  เมื่อเวลา 09.30 น. ที่ห้องพิจารณา 901 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีหมายเลขดำ อ.3323/2550 ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี (ขณะนั้น) มอบอำนาจให้ สมบูรณ์ คุปติมนัส โดย สรรพวิชช์ คงคาน้อย ผู้รับมอบอำนาจช่วง เป็นโจทก์ฟ้อง สนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) สโรชา พรอุดมศักดิ์ อดีตผู้ดำเนินรายการทางสถานีโทรทัศน์ ASTV และบริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-3 ตามลำดับในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา
       
จากกรณีเมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2550 สโรชา จำเลยที่ 2 นำเทปการปราศรัยของ สนธิ จำเลยที่ 1 ที่บันทึกในประเทศสหรัฐฯ มาออกอากาศในรายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ทางสถานีโทรทัศน์ ASTV และนสพ.ผู้จัดการรายวัน ของจำเลยที่ 3 นำข้อความมาตีพิมพ์ ทำนองว่า สุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรองนายกรัฐมนตรี สมัยรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ บอกกับ สนธิ ถึงสาเหตุที่ต้องออกจากรัฐบาล เนื่องจากตลอด 8 ชั่วโมง หลังการยึดอำนาจรัฐประหารของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 พ.ต.ท.ทักษิณ ได้พูดจาจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง คดีนี้มีมูลเฉพาะ จำเลยที่ 1 และ 2 ส่วนจำเลยที่ 3 ยกฟ้อง จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
       
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2555 เห็นว่า จำเลยทั้งสอง กระทำผิดจริง ให้ลงโทษจำคุกจำเลยคนละ 6 เดือน ปรับคนละ 2 หมื่นบาท โทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี และให้ลงโฆษณาคำพิพากษาใน นสพ.ผู้จัดการรายวัน แนวหน้า ข่าวสด เดอะเนชั่น ไทยโพสต์ เป็นเวลา 7 วัน จำเลยยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง
       
อย่างไรก็ตาม ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว เห็นว่า จากพฤติการณ์ของโจทก์ มีเหตุเพียงพอที่จะทำให้พสกนิกรชาวไทย ที่มีความเคารพเทิดทูนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งเห็นว่าการกระทำของโจทก์เป็นการจาบจ้วงสถาบัน ต้องการทำตัวเหนือองคมนตรี ข้อความที่จำเลยที่ 1 ที่กล่าวปราศรัยจึงไม่เป็นการหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์จำเลยฟังขึ้น พิพากษากลับให้ยกฟ้องจำเลยทั้งสอง โจทก์ยื่นฎีกา ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองด้วย

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ไม่ได้ร่วมจัดรายการกับจำเลยที่ 2 แต่อย่างใด ทั้งนี้ คำปราศรัยของจำเลยที่ 1 ดังกล่าว เป็นการปราศรัยที่ประเทศสหรัฐฯ ข้อเท็จจริงจึงยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ร่วมรู้เห็นในการจัดรายการกับจำเลยที่ 2 ถึงแม้จำเลยที่ 1 จะผิดฐานหมิ่นประมาทโจทก์ แต่การบันทึกเทปดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนวันที่โจทก์ระบุไว้ในคำฟ้อง ส่วนการกระทำของจำเลยที่ 2 ถือเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่น ที่ศาลอุทธรณ์ พิพากษายกฟ้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน จึงพิพากษาแก้ไม่รับฎีกาในส่วนของจำเลยที่ 1 ส่วน จำเลยที่ 2 คงมีความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ให้จำคุก 6 เดือน ปรับ 2 หมื่นบาท โทษจำคุกให้ รอลงอาญาไว้ 2 ปี

ภายหลังฟังคำพิพากษาฎีกา สนธิ กล่าวถึงที่มาของนายกรัฐมนตรี ว่า ตนไม่ได้สนใจที่มาของนายกรัฐมนตรีว่าจะมาจากไหน จะมาจากการแต่งตั้งหรือเลือกตั้งก็ได้ แต่เมื่อเข้ามาแล้วจะต้องทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติบ้านเมือง ซึ่งปัญหาใหญ่ของบ้านเรา คือ กลุ่มทุนใหญ่ครอบงำอยู่เหนืออำนาจทางการเมือง ทำให้ประชาชนเดือดร้อนถูกเอารัดเอาเปรียบ 

 

ที่มา ผู้จัดการออนไลน์

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net