นับจากวันนี้ก็เหลือเวลาอีกไม่กี่วัน ก็จะถึงวันที่ 7 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันลงประชามติเพื่อรับร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2559 ผลของการลงคะแนนในครั้งนี้จะชี้ชะตาการเมืองไทย รวมทั้งกำหนดโครงสร้างทางสังคม เศรษฐกิจและการเมืองในอนาคตด้วย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทุกคนไม่ว่าจะเป็นเศรษฐีหรือคนยากจน และไม่มีใครสามารถคาดเดาผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นได้ด้วย จะมีทางออกให้สังคมไทยได้หรือไม่ เพื่อที่จะหนีจากการจมปลักของผลพวงของรัฐประหาร พ.ศ. 2549 และนี่คงเป็นคำถามในใจของใครหลายคนตั้งแต่ประชาชนคนชั้นล่างสุดจนถึงเหล่าคนดีชั้นบนสุดในโครงสร้างสังคมศักดินาย้อนยุคแห่งนี้
สิ่งที่ผิดสังเกตและผิดแผกไปจากที่ควรจะเป็น ก็คือ ร่างกฎหมายสูงสุดที่มีความสำคัญต่อประเทศชาติและประชาชนเช่นนี้ แต่เหตุใดเล่า ประชาชนกลับไม่มีส่วนร่วมในการนำเสนอเนื้อหา หรือวิพากษ์วิจารณ์ทั้งในส่วนข้อดีและข้อเสียเลย เสมือนหนึ่งเป็นการลงประชามติท่ามกลางความเงียบสงัด ท่ามกลางความหวาดกลัวและการควบคุมจากมือที่มองไม่เห็นที่มีอาวุธครบมือ ประชาชนถูกมัดมือมัดปาก ถูกจับกุมคุมขังและตั้งข้อหาอย่างแปลกประหลาดมากมาย ห้ามแสดงความคิดเห็นใดๆ ที่ขัดแย้งกับผู้ปกครอง ทำได้แค่เพียงเดินเข้าหน้าคูหาเพื่อรับรองความชอบธรรมให้กับรัฐธรรมฉบับนี้เท่านั้น หรือนี่จะเป็นเพียงพิธีกรรมในการต่อทอดอำนาจของเหล่าผู้ปกครองจากยุคอนาล็อกที่เข้ามีอำนาจในยุคดิจิทัล ซึ่งสังคมไทยอาจจะมีทางเลือกเหลือเพียง 2 ทางที่จะเป็นไปได้ คือ
1. ถ้าประชามติ ผ่าน หมายถึง อำนาจการตัดสินใจซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมโดยคนส่วนใหญ่ จะถูกถ่ายโอนหรือโยกย้ายเปลี่ยนมือกลับไปยังกลุ่มผู้มีอำนาจเพียงหยิบมือเดียว เสียงประชาชนจะกลายเป็นเสียงนกเสียงกาหรือเป็นเพียงเสียงกระซิบจากสายลมที่พัดผ่านมาแล้วก็ผ่านไป หรืออาจเป็นเพียงไม้ประดับเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับระบอบที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ยกตัวอย่างเช่น สิทธิขั้นพื้นฐานการรักษาพยาบาลที่ควรได้รับตั้งแต่กำเนิดในฐานะคนไทยคนหนึ่ง สิทธิที่ควรได้รับอย่างเท่าเทียมกันทุกชนชั้น อาจจะเหลือเพียงสิทธิเพื่อขอรับการช่วยเหลือแบบอนาถาหรือรอรับความเมตตาปรานีจากสังคมชนชั้นสูงต่อไป หรือสิทธิขั้นพื้นฐานทางการศึกษาที่จะเหลือเพียง 12 ปี ถ้าต้องการจะเรียนต่อก็ต้องขวนขวายหาเงินเรียนเอง หาไม่แล้ว อนาคตของชาติก็คงต้องเดินหน้ากลายเป็นลูกจ้าง คนงานหรือแรงงานไร้ฝีมือในโรงงานอุตสาหกรรมของต่างชาติต่อไป
2. ถ้าประชามติ ไม่ผ่าน หมายถึง ประชาชนถูกหลอกให้หลงกลตามเกมของผู้มีอำนาจอีกเช่นเคย เป็นลิเกโรงใหญ่เพื่อยืดระยะเวลาในการสืบทอดและอยู่ในอำนาจต่อไป และจะเกิดกระบวนการสรรหาคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญคณะใหม่ขึ้นมาเพื่อร่างรัฐธรรมนูญรอบที่ 3 ย้อนเวลากลับมาเริ่มต้น ณ จุดเดิม ดังนั้นการเลือกตั้งก็จะถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด เพื่อรอให้เกิดการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ก่อน หรืออาจจะเปลี่ยนไม่ผ่านเลยก็เป็นได้ นั่นเท่ากับว่า การลงประชามติเป็นเพียงละครฉากใหญ่ฉากหนึ่งมาคั่นกลาง สลับฉากเปลี่ยนอารมณ์ เปรียบเหมือนมีโฆษณามาคั่นเวลาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของผู้ชมไปทางอื่นเท่านั้น
หรือสังคมไทยจะมีทางเลือกที่ 3 หรือไม่ อย่างไร ท่ามกลางพายุในฤดูวัสสานะ จะมีใครเล่ากล้าจุดไฟกลางสายฝน และยืนหยัดเพื่อชี้นำทางออกให้สังคม ใครเล่าจะมีความกล้าหาญเพียงพอที่จะร้องตะโกนบอกกับสังคมและเตือนสติผู้มีอำนาจว่า หนทางที่ท่านกำลังนำพาองคาพยพนี้ไปข้างหน้านั้นมีแต่ความมืดบอดและตีบตัน ไม่มีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์แต่อย่างใด และหาได้เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ต่อมวลชนคนส่วนใหญ่ไม่ แล้วเหตุใดเล่า จึงมุ่งหน้าไปยังหุบเหวแห่งนั้นอย่างไม่ลดละด้วยความภาคภูมิใจ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ท่านเหล่านั้นกำลังหนีอะไร หรือกลัวอะไรมาไล่ล่า แน่ใจหรือไม่ว่า นั่นคืออนาคตสำหรับลูกหลานของเรา นั่นคือจุดหมายปลายทางสำหรับไทยทั้งผองใช่หรือไม่ ยังคงเป็นคำถามจากคนรุ่นใหม่ฝากไปยังคนวัยเกษียณที่ยึดกุมอำนาจอยู่ในขณะนี้ หากท่านกลัวอนาคตไล่ล่าแล้ว ใยไม่ปล่อยให้คนรุ่นต่อไปได้เข้ามากุมบังเหียนและมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเลือกทางเดินอนาคตด้วยตัวของพวกเขาเอง
การสร้างความกลัว สร้างภาพว่า หากไม่เลือกหนทางเลือกที่ 1 แล้ว ทางเลือกที่ 2 จะเป็นทางเลือกที่ไม่มีอนาคตและเป็นทางตัน หากต้องการหลุดพ้นจากความอึดอัดในขณะนี้ ประชาชนต้องลงมติให้รัฐธรรมนูญผ่านเท่านั้น เพื่อจะเป็นทางออกให้กับทุกฝ่าย กลับไปสู่การเลือกตั้งในปีหน้าให้เร็วที่สุด ภาพเสือตัวใหญ่อาจดูน่าเกรงกลัวเมื่อประชาชนหลับตานึกจินตนาการ แต่หากลืมตาขึ้นแล้วมองเสือตัวนั้น เสือในกระดาษก็เป็นเพียงจินตนาการหรือนิทานหลอกเด็กที่ผู้ปกครองสร้างภาพความหวาดกลัวมาหลายทศวรรษ เช่น นักการเมืองซื้อเสียงเข้ามาโกงกิน ทหารและผู้ดีจอมปลอมในชนชั้นปกครองเท่านั้นที่มีความซื่อสัตย์สุจริต มีความจริงใจ มีความรักชาติ จึงต้องเข้ามามีตำแหน่งแห่งหนในรัฐบาลและองค์การอิสระเพื่อนำพาสังคมไทยที่ยังไม่พร้อมสำหรับระบอบประชาธิปไตยไปข้างหน้าด้วยระบอบศักดินาอนุรักษ์นิยม เป็นต้น ดังนั้นเหล่าคนดีที่ถูกเลือกจากผู้มีอำนาจเสียงข้างน้อยหรือจากประชาชนที่กล่าวอ้างว่า ตัวเองคือเสียงที่มีคุณภาพ กำลังจะนำพาสังคมไทยย้อนกลับไปยังยุคแห่งการว่านอนสอนง่าย เดินตามหลังผู้ใหญ่หมาไม่กัด อาบน้ำร้อนมาก่อน
กลับไปยังยุคแห่งการหมอบกราบ คลานเข่า กราบไหว้ และอ้อนวอนขอความเมตตาจากฟากฟ้าเบื้องบน เพื่อร้องขอสิทธิขั้นพื้นฐานที่ควรจะมีตั้งแต่เกิด หรือการอยู่ดีมีสุขนั้นเกิดจากการโปรยทานของผู้ปกครองที่รักชาติรักแผ่นดิน ความแตกต่างทางความคิดใดๆ เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ในสังคมศักดินา หากมีคนยืนขึ้นในขณะที่คนอื่นยังคงหมอบกราบนั้น การยืนตัวตรงก็เท่ากับเป็นการท้าทายอำนาจแห่งรัฐ หาใช่เป็นมติแห่งมหาชนไม่ เพราะคนอื่นๆ ยังคงหมอบกราบด้วยความปลื้มปิติและความภักดี มติแห่งรัฐจะถือเป็นกฎเกณฑ์ให้คนในสังคมต้องยึดถือและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด แต่ก็มีข้อยกเว้นไว้เสมอสำหรับชนชั้นนำและผู้ปกครอง รวมถึงเหล่าคนดีที่มีเสียงคุณภาพซึ่งจะอยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์และวิธีปฏิบัติดังกล่าว นอกเหนือจากความดีความชั่วหรือบาปบุญคุณโทษที่เป็นแบบอย่างสามัญในความเข้าใจของคนทั่วไป สิ่งเหล่านี้ไม่อาจนำมาอธิบายกับคนดีเหล่านี้ได้ เพราะเป็นการละไว้ ในฐานที่เข้าใจกัน
สังคมที่เดินหน้าไม่ได้เพราะมองไม่เห็นอนาคต ถอยหลังกลับไปหาวันวานในอดีตก็ไม่ได้ จึงติดอยู่กับที่ ติดอยู่กับปัจจุบันที่มองไม่เห็นหนทาง จะก้าวขาก็เดินไม่ออก ประชาชนส่วนใหญ่ได้แต่นั่งเหม่อลอย แต่ไม่มีใครกล้าปริปาก ประชาชนส่วนน้อยยังคงสำเริงสำราญในวิมานแว่นแคว้นของประเทศกรุงเทพ แล้วประชา ไม่ มติ จะมีความหมายอย่างใดเล่า
ณ อีกมุมหนึ่งของโลก เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
เกิดอะไรขึ้นกับการต่อต้านรัฐประหารที่ตุรกี เหตุใดประชาชนจึงออกมาต่อต้านการยึดอำนาจของทหาร และเหตุใดพรรคฝ่ายค้านจึงออกมาต่อต้านกับประชาชนในครั้งนี้ด้วย สิ่งเหล่านี้คงไม่เกิดกับสังคมไทยในขณะนี้แน่นอน บริบทของปัญหาและที่มาอาจจะแตกต่างกัน แต่เนื้อหาหลักก็คือ ชาวตุรกีได้ลงมติแห่งมหาชนในการต่อต้านรัฐประหารที่ไม่ชอบธรรมที่จะมาล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งไม่เป็นไปตามครรลองและขั้นตอนของระบอบประชาธิปไตย ถือเป็นความพร้อมเพรียง ความร่วมแรงร่วมใจกันในการปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐานแห่งเสรีภาพ ความเสมอภาคและภราดรภาพ เขาเหล่านั้นต้องการกำหนดชะตาชีวิตและอนาคตของประเทศผ่านการเลือกตั้งอย่างอิสระเสรี จึงไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่ขัดต่อหลักการของระบอบประชาธิปไตย นี่คือสังคมที่มีความเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ประชาชนมีวุฒิภาวะทางสติปัญญาและอารมณ์แล้ว หลังจากที่ต้องทนทุกข์ทรมานกับระบอบเผด็จการทหารมานานกว่า 30 ปี เมื่อใดก็ตามที่ได้ลิ้มรสอิสรภาพทางความคิดและการแสดงออกแล้ว ก็ไม่มีใครต้องการกลับไปหาวันวานในอดีต เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว มวลมหาประชาชนชาวตุรกีจึงตัดสินใจมุ่งมั่นเดินไปข้างหน้า มองหาอนาคตร่วมกัน ไม่มีใครต้องการเดินหลงทาง วนเวียนจนหาทางออกไม่เจอดั่งเช่นบางประเทศในอุษาคเนย์
มติแห่งรัฐโดยผู้มีอำนาจ หรือ มติแห่งมหาชนโดยประชาชนผู้ต้องการกำหนดอนาคตด้วยตนเอง อย่างใดเล่าจะมีความหมายควรค่าแก่การลงประชามติมากกว่ากัน นี่คงเป็นคำถามที่ยังต้องค้นหาคำตอบกันต่อไป ในจิตใจและความคิดของสามัญชนคนทั่วไป หากท่านต้องการขีดเขียนอนาคตสำหรับตัวท่านและคนรุ่นต่อไปแล้ว ขอจงออกไปใช้สิทธิ์เพื่อบอกกล่าวกับผู้มีอำนาจว่า ระบอบประชาธิปไตยนั้นพร้อมแล้วสำหรับประชาชนชาวไทย หากแต่ยังไม่พร้อมสำหรับเหล่าคนดีทั้งหลาย คนดีที่ยังยึดติดกับอดีตที่หอมหวน อดีตที่เรียกกลับคืนมาไม่ได้ อนาคตที่กำลังไล่ล่าอย่างรวดเร็วและทำให้สถานภาพทางสังคมและความมั่งคั่งของพวกท่านเริ่มอ่อนไหว สั่นคลอน จนรู้สึกวิตกจริตถึงความไม่มั่นคงต่างหากที่ทำให้ท่านไม่อาจยอมรับความจริงได้ นั่นก็เป็นเพราะการไม่รู้จักปรับตัวรับความเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับสภาพการณ์ปัจจุบัน หรือเป็นความเคยชินในการได้ประโยชน์จากการกดขี่ชนชั้นล่าง ตรงกันข้าม สามัญชนได้ปรับเปลี่ยนและยอมรับสิ่งใหม่ที่มาพร้อมกับกระแสแห่งการเปลี่ยนผ่านแล้ว และนี่ต่างหากคือความหวังของสยามประเทศ สิทธิเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตยเท่านั้นที่จะทำให้การเปลี่ยนผ่านในครั้งนี้ เกิดขึ้นและผ่านไปได้ด้วยความสามัคคีปรองดอง ความเป็นปึกแผ่นของชาติ และมุ่งหน้าสู่อนาคตเพื่อการแข่งขันกับนานาอารยประเทศต่อไป ทั้งนี้เพื่อนำพาความผาสุกและความเจริญก้าวหน้ากลับมาสู่สังคมไทยอีกครั้ง และนี่ต่างหากคือ สิ่งที่มหาประชาชนได้ลงมติไว้เรียบร้อยแล้ว