โกวิท โพธิสาร หนึ่งในหน่วยหน้ากล้าตายจากไทยพีบีเอสยื่นจดหมายขอคำชี้แจงการเลือก ผอ. "สสส.กับไทยบีพีเอสทำงานคนละอย่างกัน ที่คุณหมอบอกว่าเคยทำสื่อรณรงค์ ทำงานสื่อสารองค์กร ผมคิดว่ามันคนละเรื่องกัน การพิจารณาคุณสมบัติแบบนี้มันสุ่มเสี่ยงที่จะถูกตีความว่าผิดพ.ร.บ.องค์กร"
โกวิท โพธิสาร พนักงานไทยพีบีเอส
หทัยรัตน์ พหลทัพ พนักงานไทยพีบีเอส
กระบวนการสรรหาผู้อำนวยการคนใหม่ของไทยพีบีเอส ทีวีสาธารณะแห่งเดียวของไทยเสร็จสิ้นแล้ว และ ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ อดีตผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้รับเลือกเป็นผู้อำนวยการคนใหม่แทนนายสมชัย สุวรรณบรรณ ที่ถูกปลดสายฟ้าแลบไปก่อนหน้านี้ โดยในการสรรหาครั้งนี้มีผู้สมัครทั้งหมด 13 คน
ก่อนที่หมอกฤษดาจะเริ่มการทำงานในวันที่ 1 ก.พ.นี้ พนักงานของไทยพีบีเอสกลุ่มหนึ่งได้ออกจดหมายเปิดผนึกแสดงข้อสงสัยและขอคำชี้แจงจากคณะกรรมการสรรหาและคณะกรรมการนโยบายว่าเหตุใด อดีตผู้จัดการ สสส. จึงคว้าตำแหน่งนี้ ทั้งที่ มาตรา 32(3) ของพ.ร.บ.องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 ว่าด้วยคุณสมบัติของผู้อำนวยการองค์กรระบุว่า “มีความรู้ความเข้าใจและมีความเชี่ยวชาญหรือมีประสบการณ์ในกิจการวิทยุกระจายเสียงกิจการวิทยุโทรทัศน์ หรือการสื่อสารมวลชน”
โกวิท โพธิสาร เป็นผู้สื่อข่าวคนหนึ่งของไทยพีบีเอสที่เปิดหน้าออกมาวิพากษ์วิจารณ์กระบวนการสรรหาเป็นคนแรกๆ เขาเคยโพสต์เฟซบุ๊กแสดงไทม์ไลน์ที่น่าสนใจของความเปลี่ยนแปลงในองค์กรนี้ในห้วงรัฐบาลรัฐประหาร
2 พฤษภาคม 2558 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลงนามแต่งตั้ง รศ.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ เป็นประธานกรรมการนโยบายองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) หรือ ไทยพีบีเอส 9 ตุลาคม 2558 กรรมการนโยบายองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) มีมติเลิกจ้าง “สมชัย สุวรรณบรรณ” ผู้อำนวยการ ส.ส.ท. 16 ตุลาคม 2558 ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ ลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการกองสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) 24 พฤศจิกายน 2558 ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ สมัครเข้ารับการสรรหาเข้าดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการไทยพีบีเอสเป็นลำดับที่ 13 ซึ่งเป็นคนสุดท้ายที่ยื่นใบสมัครในวันเดดไลน์ 5 มกราคม 2559 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ สั่งปลดบอร์ด สสส. 7 คน 7 มกราคม 2559 คณะกรรมการสรรหาผู้อำนวยการไทยพีบีเอส ได้คัดเลือกผู้สมัครเหลือ 5 คนสุดท้าย โดย 1 ใน 5 มีชื่อของ ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ ติดมาด้วย 14 มกราคม 2559 จะเป็นวันสอบสัมภาษณ์ผู้สมัคร 5 คนสุดท้ายก่อนคัดเลือกตำแหน่งผู้อำนวยการไทยพีบีเอส |
ในวันนี้ โกวิท และ หทัยรัตน์ พหลทัพ นักข่าวอีกคนหนึ่งของไทยพีบีเอส เป็นตัวแทนยื่นหนังสือต่อผู้บริหารหลายคน โดยมีรักษาการผู้อำนวยการไทยพีบีเอส พวงรัตน์ สองเมือง เป็นผู้รับมอบโดยตรง เบื้องต้นพวกเขานัดหมายผู้สื่อข่าวสำนักอื่นๆ มาทำข่าวการยื่นหนังสือที่ชั้นล่าง แต่แล้วก็มีการยื่นหนังสือบนชั้น 4 โดยไม่อนุญาตให้ผู้สื่อข่าวขึ้นไปทำข่าว
หลังการยื่นหนังสือ ประชาไทสัมภาษณ์โกวิทถึงคำตอบของผู้บริหาร มูลเหตุการลุกขึ้นมาตรวจสอบองค์กรตนเอง รวมถึงแรงกดดันที่พนักงานระดับปฏิบัติการอาจได้รับจากการส่งเสียงโหวกเหวกดังกล่าว เขายืนยันว่า “ถึงวันนี้ยังไม่มีแรงกดดันอะไรสำหรับพนักงานที่ออกมาเคลื่อนไหว”
ทำไมการยื่นจดหมายครั้งนี้ถึงไม่เปิดให้ผู้สื่อข่าวที่มารอทำข่าวเข้าไปด้วย เหตุผลคืออะไร
จริงๆ นี่ไม่ใช่การยื่นหนังสือครั้งแรก ปกติก็จะยื่นกันข้างบนแบบนั้น ส่วนการไม่ให้ผู้สื่อข่าวเข้าก็เป็นวิจารณญาณเป็นครั้งๆ ไปบางครั้งเข้าได้ บางครั้งเข้าไม่ได้ ทางผู้บริหารก็ไม่ได้ให้เหตุผลแต่ผมคิดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่
การพูดคุย ผลตอบรับเป็นอย่างไร
ผู้บริหารแจ้งว่าจะนำเรื่องนี้เข้าไปคุย น่าจะเร่งด่วนพอสมควร ผมได้ยินมาว่าเขาเรียกผู้บริหารระดับ ผอ.สำนักเข้าไปคุยเพื่อหารือ แจ้งให้ทราบ อธิบายว่าเกิดอะไรขึ้น ผมไม่แน่ใจว่าการพูดคุยดังกล่าว ท่าทีจะเป็นอย่างไร ต้องรอหลังจากนี้
ข้อเรียกร้องหลักของพนักงานคืออะไร
เรื่องสำคัญในครั้งนี้คือความสงสัยอย่างสำคัญต่อคุณสมบัติของผู้อำนวยการองค์กรที่ได้ประกาศมาแล้วว่าเป็น ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ โดยท่าทีเราไม่มีปัญหาว่าเป็นนายแพทย์ท่านใด หรือเป็นบุคคลใด แต่เป็นคำถามเกี่ยวกับคุณสมบัติผู้สมัครมากกว่า ซึ่งคุณหมอและทุกคนมีสิทธิในการสมัครเป็น ผอ. แต่คุณสมบัติของคนที่สมัครนั้นผ่านมาถึงขั้นนี้ได้อย่างไร เป็นเรื่องต้องตั้งคำถาม เพราะผู้สมัครทั้ง 12 คนมีโปรไฟล์เกี่ยวกับการทำงานด้านสื่อสารมวลชนโดยตรง มีคุณหมอท่านเดียวไม่ตรง และน่าจะมีประสบการณ์อ่อนที่สุด
นอกจากนี้กิจการที่คุณหมอทำงานมามันไม่ใช่สื่อโดยตรง คุณหมอทำงานเป็นรองผู้จัดการ และผู้จัดการของ สสส. ซึ่ง สสส.กับไทยบีพีเอสทำงานคนละอย่างกัน ที่คุณหมอบอกว่าเคยทำสื่อรณรงค์ ทำงานสื่อสารองค์กร ผมคิดว่ามันคนละเรื่องกัน การพิจารณาคุณสมบัติแบบนี้มันสุ่มเสี่ยงที่จะถูกตีความว่าผิดพ.ร.บ.องค์กร เพราะการบอกว่าเป็นผู้จ้างผลิตรายการ ทำแคมเปญต่างๆ มันคนละอย่างกับวิชาชีพสื่อ หมายความว่า ถ้าคุณหมอสามารถทำได้ คนอื่นที่เขาจ้างผลิตรายการในลักษณะเดียวกันก็ย่อมมีสิทธิสมัครได้ด้วยใช่หรือเปล่า ผมเป็นผู้ประกอบการขายน้ำปลา จ้างทำสื่อมาสิบปี ผมย่อมสามารถสมัครเป็น ผอ.สื่อสารธารณะได้ใช่ไหม ถ้าได้ ก็ตีความมาเลยว่าได้ เป็นบรรทัดฐานออกมาใหม่เลย แต่ตอนนี้กฎหมายมันวางบรรทัดฐานไว้ชัดเจน ผมไม่ได้ตีความเอาเอง กฎหมายเขียนไว้ simple มากๆ อ่านมาตรา 32(3) วรรคเดียวก็จะเห็นว่าตรงหรือไม่ตรง
ฉะนั้น โดยท่าทีของการยื่นจดหมายครั้งนี้จึงไม่ใช่การต่อต้านคุณหมอแต่เราต่อต้านกระบวนการในการเลือก ผอ. อยากให้มันเป็นไปอย่างชอบธรรม อย่างตรงไปตรงมา อย่างโปร่งใส และอย่างสง่างาม ส่วนความกังวลอื่นๆ ก็มีหลายอย่าง แต่ประเด็นหลักที่สุดก็มีเรื่องนี้
พนักงานเรียกร้องความโปร่งใส การมีส่วนร่วม แต่โดยโครงสร้างและหลักเกณฑ์ทางกฎหมายไม่ได้เปิดให้พนักงานเข้าไปมีส่วนร่วมในการสรรหา ผอ.อยู่แล้ว หรือการโชว์วิสัยทัศน์ก็ไม่ได้กำหนดให้เผยแพร่สาธารณะหรือให้ผู้ปฏิบัติงานรับรู้ ดังนั้นกระบวนการก็ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว
โดยหลักเกณฑ์ พนักงานระดับปฏิบัติการไม่ได้มีส่วนร่วมโดยตรงอยู่แล้ว แต่ข้อทักท้วงก็เป็นสิทธิที่จะพูด ทักท้วงตามสามัญสำนึกในฐานะเป็นพนักงานคนหนึ่ง การได้ผู้อำนวยการคนใดมีผลต่อการทำงานของเราโดยตรง มีผลต่อภาพลักษณ์ขององค์กรโดยตรง แต่โดยโครงสร้างไม่ได้เอื้อให้เราไปมีส่วนร่วมทำงานตรงนั้น
อย่างไรก็ดีที่ผ่านมามีการพูดคุยภายใน โดย ศ.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ ได้พูดกับพนักงานหลักร้อยคนกรณีที่มีการปลด ผอ.สมชัย สุวรรณบรรณ บอกว่าการเลือก ผอ.ครั้งต่อไป พวกคุณมีส่วนร่วมเต็มที่เลย ไปร่วมฟังวิสัยทัศน์ได้ ซึ่งโอเค อาจารย์อาจจะพูดโดยคิดหรือไม่ได้คิดก็แล้วแต่ เราก็คาดหวังเล็กๆ ว่าเราจะฟังได้บ้าง แต่เมื่อไม่ได้ฟังก็ไม่เป็นความผิด กฎหมายไม่ได้เอื้ออยู่แล้ว เพียงแต่เล่าให้ฟังเฉยๆ ว่าที่มาที่ไปมันเป็นยังไง เราก็ใช้สิทธิในการทักท้วงโดยสามัญสำนึก
คิดว่าจะมีการแก้ไขเชิงโครงสร้างไหม เช่น การแก้กฎหมาย ให้พนักงานเข้าไปมีส่วนร่วมมากกว่านี้ เพราะไม่เช่นนั้นครั้งต่อๆ ไปก็จะเกิดปัญหาอีก หรือกรณีสองครั้งที่ผ่านมาก็อาจมีคนไม่เห็นด้วยแต่บังเอิญเป็นเสียงส่วนน้อยก็จะทำให้ไม่เกิดการตรวจสอบ โปร่งใส
ผมประเมินยากว่ามันจะไปสู่การเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรในเชิงโครงสร้างหรือเปล่า แต่ผมคิดว่าโครงสร้างที่มีอยู่เดิมก็ไม่ได้น่าเกลียด ก็ใช้ได้ โครงสร้างที่มีอยู่เดิมแค่คุณทำตามหลักเกณฑ์ที่มันมีอยู่ มันก็เอื้อให้เราทำงานได้โดยสุจริตใจ โดยความภาคภูมิใจแล้วว่านี่คือทำงานในองค์กรสื่อซึ่งมีความโปร่งใสพอสมควร มีความน่าเชื่อถืออยู่พอสมควร แต่ถ้าคิดว่ากฎหมายยังไม่ได้ก็เปลี่ยนกันในสภา ก็โหวตกัน แต่ถ้ามีอยู่แบบนี้แล้วเหมือนจะพยายามข้ามเส้นอยู่ตลอดเวลา อันนี้คงต้องตั้งคำถามว่าโอเคหรือเปล่า
บรรยากาศของพนักงานระส่ำระสายมาตั้งแต่ตอนปลด ผอ.สมชัยหรือเปล่า ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวนี้
ผมคิดว่าไม่ถึงขนาดนั้น คนภายในเองคงมีการพูดคุยกันอยู่ แต่ไม่ถึงกับระส่ำระสายขนาดนั้น แล้วไทยพีบีเอสเอง โดยประวัติศาสตร์ขององค์กรก็มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอแล้วคนทำงานเองก็คงเคยชินแล้วมั้งว่าเราอยู่กับความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่ช่วงที่ผ่านมา การเลือก ผอ.คนก่อน คุณเทพชัย หย่อง อาจารย์สมชัย สุวรรณบรรณ คนอาจจะชอบหรือไม่ชอบก็ได้ แต่ตั้งคำถามไม่ได้ หรือตั้งคำถามได้ก็ไม่มีมูลมากพอ เช่น เราไม่สามารถตั้งคำถามได้ว่าสองคนนี้คุณสมบัติไม่พอ ประสบการณ์ไม่พอ เพราะเขาทำงานในวงการสื่อกันมาสิบยี่สิบปี แต่คนใหม่คงต้องตั้งคำถาม
แล้วคนทำงานตั้งคำถามกันเยอะไหม เข้าใจว่ารวบรวมรายชื่อได้ 30 กว่าคน ถือว่าเป็นสัดส่วนที่น้อยไหม
ไม่น้อย ที่ผ่านมามันมีการรวบรวมรายชื่อลักษณะนี้อยู่พอสมควร กรณีปลดอาจารย์สมชัย สุวรรณบรรณ มีการรวบรวมรายชื่อให้คณะกรรมการนโยบายเปิดทาวน์ฮอลล์ ให้มีการชี้แจงอย่างป็นทางการ กรรมการนโยบายทั้งหมดก็ลงมาชี้แจง การรวมชื่อได้สิบยี่สิบคนนี่เป็นเรื่องปกติสำหรับไทยพีบีเอส สำหรับคนที่ออกมาเคลื่อนไหวหรือเปิดเผยชื่อ แต่รายชื่อ 30 คนมันเป็นคนละเรื่องกับความสงสัยคลางแคลง ต่อให้มี 1 คน 2 คนก็ต้องตอบคำถาม ผมเองได้ฟังหลายคนก็ตั้งคำถามกันทั้งนั้นแต่ตั้งคำถามแล้วจะร่วมลงชื่อไหมก็อีกเรื่องหนึ่ง
ให้ดีที่สุดก็คือ กรรมการนโยบายและคณะกรรมการสรรหา ออกมาชี้แจง แล้วก็ฟังความคิดเห็นคนอื่นๆ ว่าเขาคิดเห็นอย่างไร อยากพูดอะไร
ถ้ามีการออกมาชี้แจงตามที่คาดหวัง แล้วปรากฏว่าคำชี้แจงไม่เป็นที่พอใจ จะทำอย่างไรต่อไปหรือไม่
ผมยังไม่อยากเปิดเผยว่าจะทำอะไร แต่ผมคิดว่าผมคงไม่นิ่ง เพื่อนๆ หลายคนคงไม่นิ่ง ถ้าไม่สามารถอธิบายอย่างมีหลักมีเกณฑ์ เข้าใจและยอมรับได้ กระบวนการคงไปต่อ แต่ยังไม่อยากพูดว่าต้องทำอะไร
คิดว่าการออกมาตั้งคำถาม ตรวจสอบผู้บริหารขององค์กรตัวเอง จะส่งผลกระทบต่อคนทำงานไหม
เรามักพูดกันเสมอว่าสื่อมีหน้าที่ตรวจสอบนู่นนี่ ผมคิดว่าคำถามที่ผมตั้งคำถาม เพื่อนๆ พนักงานที่ร่วมกันตั้งคำถามและถกเถียงกันมาจนถึงลงชื่อด้วยนั้น มันสร้างบรรทัดฐานอย่างหนึ่งคือ คุณต้องตรวจสอบตัวเองด้วย แล้วการตรวจสอบนี้ผมก็ยืนยันว่ามันไม่ซับซ้อนอะไร เป็นการตรวจสอบที่เรียบง่ายมาก ถ้าคำถามที่เรียบง่ายขนาดนี้คุณตอบให้กระจ่างไม่ได้ มันก็ทำงานยากมาก และผมคิดว่ากระบวนการตรวจสอบเป็นเรื่องปกติที่สื่อมวลชนควรจะมี และการทำงานด้านสื่อสารมวลชนโดยพื้นฐานก็ต้องตรวจสอบอยู่แล้ว และครั้งนี้จะสร้างบรรทัดฐานว่าพนักงานไม่ควรนิ่งเฉย ปล่อยให้ผ่านๆ ไป เดี๋ยวเขาก็ไปเดี๋ยวเขาก็มา ถ้าปล่อยเรื่อยๆ แบบนั้นคงโดนตั้งคำถามเยอะว่าเป็นองค์กรสื่อสารธารณะที่มีบรรทัดฐานเพียงพอแค่ไหน และบรรทัดฐานพวกนี้มันธรรมดามาก
ผู้สมัครชิงตำแหน่ง ผอ.ไทยพีบีเอส 1.นายพัฒนะพงศ์ จันทรานนทวงศ์ คณะกรรมการสรรหา ผอ. 1. เดชอุดม ไกรฤทธิ์ คณะกรรมการนโยบาย สสท. 1.รศ.ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ ประธานกรรมการ |
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)