Skip to main content
sharethis

ช่วงเดือนที่ผ่านมา ชื่อของสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ หนูหริ่ง หรือ บก.ลายจุด เป็นประเด็นอีกครั้งจากกรณี ‘ข้าวลายจุด’ ที่เปิดตัวได้ไม่ถึงเดือนก็ต้องประกาศยุติการขาย ‘อย่างเป็นทางการ’

ตามมาด้วยการแจ้งข้อกล่าวหา “จำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารที่ควบคุมฉลากโดยแสดงฉลากไม่ถูกต้อง” เมื่อวันที่ 16 มิ.ย.ที่ผ่านมาเนื่องจากฉลากบนถุงข้าวลายจุดไม่ระบุวันที่ผลิตและวันหมดอายุ คดีนี้พนักงานสอบสวนจะนำตัวผู้ต้องหาส่งศาลแขวงดอนเมือง ศูนย์ราชการ อาคารเอ ในวันที่ 24 มิ.ย.นี้ เวลาประมาณ 15.00 น. 

ยังไม่นับประเด็นการแลกหมัดกับ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ที่ขายข้าววิสาหกิจชุมชนเช่นกัน

คดีล่าสุดเรื่องข้าวลายจุดทำให้ชายคนนี้มีคดีรวมแล้วเป็น 4 คดีหลัก และวันนี้ (22 มิ.ย.) เขาก็เพิ่งได้เดินทางไปรับฟังคำสั่งของอัยการที่ร้อยเอ็ดในคดีมาตรา 112 ซึ่งอัยการยังไม่มีคำสั่งและอนุญาตให้มีการสอบปากคำพยานเพิ่มเติมอีก 6 ปากตามที่จำเลยได้ร้องขอความเป็นธรรมไว้

“ผมมั่นใจว่าคดีทั้งหมดเป็นเหตุผลทางการเมือง” สมบัติกล่าว

แม้ ‘สมบัติ’ จะได้ชื่อว่าเป็นนักเคลื่อนไหวสายพิราบ สายครีเอทีฟ สายแกนนอน สายกวนประสาท สายคนชั้นกลาง ฯลฯ แต่เขากลับมีคดีอีรุงตุงนังมาตั้งแต่ปี 2553 โดยเขาถูกจับเข้าค่าย ตชด.หลังนำคนผูกผ้าแดงไว้อาลัยผู้เสียชีวิตจากเหตุสลายการชุมนุม 2553 ที่แยกราชประสงค์ จากนั้นโดนคดีฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 2 คดีซ้อนจากกิจกรรม ‘เปลือยเพื่อชีวิต’ และการรวมกลุ่มแลกเปลี่ยนข่าวสารระหว่างมีการสลายการชุมนุมที่เรียบทางด่วนรามอินทรา คดีหนึ่งศาลสั่งจำคุกแต่รอลงอาญา อีกคดีหนึ่งยกฟ้อง

สำหรับชุดคดีระลอกใหม่หลังรัฐประหาร 2557 นั้น แบ่งเบื้องต้นได้ดังนี้

คดีแรก ฝ่าฝืนประกาศ คสช. ไม่ไปรายงานตัว คดีนี้เพิ่งเสร็จสิ้นการสืบพยานที่ศาลแขวงตลิ่งชัน นับได้ว่าโชคดีนิดหน่อยที่ในวันที่เขาถูกบุกจับกุมตัวที่ชลบุรีจนเป็นข่าวโด่งดังนั้นยังไม่มีประกาศให้ความผิดนี้ไปขึ้นศาลทหาร

“คดีนี้โทษจำคุก 2 ปี ปรับประมาณ 40,000 บาท แต่โชคดีสู้ได้ 3 ศาล เรื่องก็คือผมนอนอยู่ที่บ้าน เขาประกาศให้ไปรายงานตัวแล้วผมไม่ไป เขาเลยโกรธแล้วมาจับตัวผมไปเข้าค่ายทหาร แล้วฟ้องว่าผมขัดคำสั่ง ผมคิดว่ามันไม่แฟร์ทำไมผมจะต้องไปทำตามคำสั่งของคนที่ทำผิดกฎหมายอาญามาตรา 113 ในรัฐธรรมนูญตั้งแต่ปี 40 ปี 50 ก็ได้ให้สิทธิในการต่อต้าน ซึ่งการต่อต้านของผมก็คือการที่ไม่ไป  ผมดื้อแพ่ง” สมบัติกล่าวด้วยใบหน้ามึนๆ ตามสไตล์

คดีที่สอง คดียุยงปลุกปั่นตามมาตรา 116 ประมวลกฎหมายอาญา และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จากการโพสต์เฟซบุ๊กช่วงหลังการรัฐประหาร คดีนี้ขึ้นศาลทหารและขณะนี้อยู่ระหว่างสืบพยาน

“พฤติกรรมของผมคือการเล่นเฟสบุ๊ควิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล จริงๆ ผมเล่นเฟสบุ๊กมาตั้งแต่ก่อนรัฐประหาร เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วก็ไม่เคยมีปัญหา แต่หลังรัฐประหารการเล่นเฟสบุ๊กของผมก็มีปัญหาทันที”

“มีหลายข้อความที่เขายกมาอ้างการผิดกฎหมาย 116 เช่น ที่ผมไปเขียนวิจารณ์ว่า ประชาชนทำอะไรก็ผิด คสช. ทำอะไรก็ไม่ผิด”

คดีที่สาม หมิ่นประมาทสถาบันกษัตริย์ ตามมาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญา และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ คนร้องทุกข์กล่าวโทษคือ ไอแพด นักฟ้องคดี 112 แห่งจังวัดร้อยเอ็ด จากกรณีที่สมบัตินำภาพตัดต่อล้อเลียน กปปส. ที่ส่งต่อกันในไลน์มาโพสต์ในเฟซบุ๊ก ลักษณะภาพเป็นการการแถลงข่าวของ กปปส. โดยมีภาพสุเทพ เทือกสุบรรณ และภรรยาอยู่ด้านหลัง ด้านบนเป็นตราพรรคประชาธิปัตย์

“ช่วงนั้นคุณสุเทพประกาศตัวเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ผมแชร์รูปนั้นโดยไม่ได้เขียนอะไรเพิ่มเติม คุณถาวร (เสนเนียม) เขาฉุนมาก เอาไปพูดที่ราชดำเนินบอกว่าผมไปโพสต์ข้อความหมิ่นเหม่ ที่จริงตำรวจจะไม่รับฟ้องอยู่แล้วเพราะมันไม่เกี่ยวกับสถาบันเลย มันเป็นภาพเสียดสีล้อเลียน กปปส. ตำรวจจะปิดคดีตั้งแต่ต้นแล้ว ต่อมาผมโดนคดีไม่ไปรายงานตัวกับ คสช. ก็มีการไปขุ้ยคดีนี้มา ผมเจอข้อหา 112 แต่ตอนนี้รูปนี้ก็ยังอยู่ในพันทิปอยู่เลย โชคดีที่ได้ประกันตัว การประกันตัวของผมเกิดขึ้นหลังจากมีแถลงการณ์ของ EU เรื่องนักโทษการเมือง”

“โดนรวมๆ แล้วคดีทั้งหมดถ้าลงโทษเต็มหมด ผมคงแก่ตายในคุกพอดี”

จับพลัดจับผลูยังไง ถึงไปขายข้าวลายจุด ?

“ผมถูก คสช. อายัดบัญชี ไม่มีงานทำ ผมเป็นกรรมการอยู่ 4 มูลนิธิต้องลาออกเพราะโดนผลกระทบมาก แต่ก่อนผมจัดรายการโทรทัศน์อยู่อยู่ช่อง Peace TV ซึ่งก่อนหน้านั้นเป็น UDD Chanel พอรัฐประหารก็ปิดไป แล้วก็จัดรายการอยู่ช่อง 11 รายการทันสถานการณ์สุดท้ายก็ไม่ได้ทำ มาจัดอยู่ Peace คิดว่าจะทำ 5 วัน ก็เหลือวันเดียว เลยคิดหารายได้พิเศษด้วยการขายนาฬิกา  ขายนาฬิกามาสักพักก็มาขายข้าวลายจุด”

“ตั้งใจจะทำแบบ social enterprise เป็นธุรกิจเพื่อสังคม โดยลองตีโจทย์เรื่องการซื้อว่า ข้าวในราคาเกวียนละ 15000 บาท มาสีใส่ถุงแล้วมาจำหน่ายมีข้อความรณรงค์หรือจุดขายว่า ซื้อมาในราคาหมื่นห้านะ แล้วมันก็กลายมาเป็นประเด็น”

หลังจากประกาศขายข้าว โดนอะไรบ้าง ?

“ก็ขายได้อยู่ 20 วัน จากนั้นเริ่มถูกคุมคาม ตั้งแต่การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไปค้นร้านค้าที่เอาข้าวไปขาย ที่จริงมันมีข้าวอยู่ 20 ถุงที่นั่น วันแรกมีการไปคุย ครั้งที่สองไปอีก เจ้าของบ้านตกใจว่าข้าว 20 ถุงนี้มันมีอะไร เขาเริ่มกลัว ไม่กล้าขาย ยกเลิกหมดเลย ไอ้ของที่ขายอย่างอื่นก็ปิดหมดเลย กลายเป็นจุดจบไปพร้อมกับข้าวลายจุดเลยเพราะว่ากลัวมาก”   

“ต่อมามีตำรวจไปโรงสีข้าวที่ปทุมธานี โรงสีไม่รู้ว่าสีข้าวให้ผมเพราะเพื่อนที่เป็นชาวนาเป็นคนรับผิดชอบ ตำรวจในท้องที่มาถามโรงสีว่าได้สีข้าวให้ข้าวลายจุดไหม โรงสีก็ไม่รู้เรื่อง เพื่อนผมอยู่ตรงนั้นก็เล่าให้ผมฟัง แล้วโรงสีนั้นก็โดนกระทรวงพาณิชย์โทรไปถามว่าได้สีข้าวลายจุดไหม กระทรวงพาณิชย์ตื่นตัวมากถึงกับโทรไปตามหาโรงสี ไม่ใช่แค่นั้น ที่ประชุมองค์การค้าข้าวถุง ผู้ประกอบการค้าข้าวถุงเขามีการประชุมกันเรื่องของผม มีการซักถามในที่ประชุมว่ามีใครทำข้าวถุงให้ข้าวลายจุดไหม เรียกว่าระดมกันค้นหาว่าใครเป็นคนทำ”


พ่อค้านาฬิกา

“นอกจากนี้ยังมีชาวนาอยู่คนหนึ่งซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่ขายข้าวให้ผม ถูกตำรวจไปค้นที่บ้าน เนื่องจากว่าบ้านเขามีลักษณะที่คิดว่าจะเก็บของได้  มียุ้งฉาง มีโกดัง ประเด็นก็คือเขาพยายามจะหาสิ่งที่เรียกว่าโกดัง เพราะว่าเขามีสมมติฐานว่าข้าวลายจุดเป็นโปรเจ็คทางการเมืองที่มีผู้สนับสนุนทางการเมือง ถ้าลองฟังดูน้ำเสียงของคุณประยุทธ์ก็ดี หรือเสธ.ไก่อูก็ดี จะรู้เลยว่าว่าเขามีสมมติฐานที่เชื่อว่างานนี้เป็นงานเคลื่อนไหวทางการเมือง ต้องมีหลายพันถุง หลายหมื่นถุง”

“แต่เขาหาไม่ได้ พยายามอยู่นานมากแต่ก็หาไม่ได้เพราะว่ามันไม่มี ผมทำข้าวทีละ 200 ถุง แต่ที่มันดังได้ก็เพราะฝ่ายการเมืองของ คสช. มาเล่นด้วย  พอเสธ.ไก่อูพูด ยอดสั่งซื้อของผมพุ่งกระจายขายดีมาก ขายแบบผลิตไม่ทัน ทำไม่ทัน ส่งไม่ทัน เพราะหน่วยผลิตทำอยู่ 2 คน คอยเอาข้าวสารมาแพ็คใส่ถุง”

“เขาผิดหวังอย่างรุนแรง เขาเลยฟ้องเท่าที่ทำได้ คือ พ.ร.บ. คุ้มครองผู้บริโภคและใช้ประกาศของคณะกรรมการฉลากเรื่องข้าวถุง คือ ข้าวผมไม่ได้ระบุว่าหุงยังไง กินยังไง ซึ่งข้าวถุงที่ออกจากโรงงานต้องระบุถึงวิธีการหุงข้าว เนื่องจากว่าวิธีการหุงข้าวมันยากมาก คนไทยอาจจะไม่รู้ แต่โอเคนะ มันก็เป็นไปตามกฎหมาย ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่เรื่องที่ผมต่อสู้ก็คือผมไม่เข้าข่าย พ.ร.บ. ฉบับนี้ เนื่องจากมันเป็นข้าวที่ออกมาจากโรงงาน ผมสู้ว่าผมไม่ใช่โรงงาน ตามกฎหมายโรงงานจะเข้าข่ายได้ต้องมีคนงาน 7 คนและมีเครื่องจักร 15 แรงม้า ของผมนี่ใช้แรงคนแค่สองคน อุตสาหกรรมจังหวัดก็มาตรวจแล้วเห็นว่ามันไม่เข้าข่าย”

“อีกอันหนึ่งก็คือพ.ร.บ. อาหาร  ว่าด้วยหีบห่อและบรรจุภัณฑ์ เขาอ้างว่าผมไม่มีวันผลิตและวันหมดอายุ อะไรประมาณนี้ ผมไปคุยกับ อย.แล้ว แล้วผมก็ไปดูในห้างที่เขาขายข้าวกัน บางอันก็ไม่มีเหมือนกัน”

แล้วคิดจะเคลื่อนไหวทางการเมืองผ่านข้าวจริงไหม ตอนเริ่มต้นคิดอะไร ?

“ตอนแรกเราอยากจะถอดสมการว่า ถ้าเราซื้อข้าวในราคาที่แพงของตลาด เราไปเอาตัวเลข 15,000 ในรัฐบาลที่แล้วที่คนบอกว่าขาดทุน เราพยายามจะตีโจทย์ว่าถ้าเราซื้อ 15,000 ทำในรูปแบบที่ไม่ได้ใช้ภาษี ในรูปแบบ social enterprise จะขายได้รึเปล่า แต่เอาจริงๆ เลยนะคืออยากมีงาน มีรายได้”

“เราไม่ได้รู้สึกถึงขนาดเขาหรอก คิดตื้นๆ คิดเอามัน ขายได้ก็ขาย ขายไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ทดลองดูเผื่อจะได้กำไร”

มีเครือข่ายชาวนาเสื้อแดงที่ทำด้วยกันเยอะไหม ?

“มีชาวนาเสื้อแดงที่เราทำงานร่วมกันอยู่ สิ่งที่เขาคิดก็คือ 1.เขาคิดว่าเราทำข้าวลายจุดออกมาเพื่อปกป้องยิ่งลักษณ์ ปกป้องโครงการรับจำนำข้าว ผมไม่คิดว่าเป็นการปกป้องโดยตรง แต่ว่าผมต้องการที่จะพิสูจน์แนวความคิดที่ว่าจริงๆ เราสามารถซื้อข้าวจากชาวนาได้มากกว่าราคาตลาดหรือไม่ ราคาตลาดที่เป็นอยู่มันเป็นราคาของพ่อค้า ไม่ใช่ราคาตลาดของผู้บริโภค และไม่ใช่ราคาตลาดของผู้ผลิตหรือชาวนา ผมต้องการจะบอกว่าเราสามารถซื้อข้าวสูงขึ้นจากราคาตลาดที่เป็นอยู่ได้ เราสามารถเปลี่ยนรูปแบบตลาดด้วยการทำข้าวในโมเดลแบบนี้ได้”

“แต่เขามองว่า เขาถอดถอนยิ่งลักษณ์  ปปช.ฟ้อง กระทรวงการคลังฟ้อง แล้วเราไปชวนให้เกิดคำถามว่าโครงการนี้มันล้มเหลวจริงๆ ไหม อันนี้เป็นมุมเขานะ ไม่ใช่มุมของผม ผมไม่ได้ไปแก้ต่างให้ยิ่งลักษณ์ ในมุมของผมคือเราทำโดยที่เราไม่ต้องไปใช้ภาษีของประชาชนก็ได้ ผมไม่ได้ทำแบบเดียวกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ทำ”

“2.เขาคิดว่าผมจะไปตบหน้ารัฐบาลเนื่องจากว่ารัฐบาลไม่มีโครงการช่วยเหลือ  ดูได้จากคำพูดของพันเอกสรรเสริญ แก้วกำหนด ที่บอกว่าขายน้อยๆ ก็ขายได้ เก่งจริงทำไมไม่รับซื้อทั้งหมดเลยล่ะ มันสะท้อนให้เห็นว่าผมเป็นคู่กรณีกับรัฐ เป็นคู่แข่ง”

“เอาจริงๆ ก่อน เสธ.อู ประชาสัมพันธ์ให้นี่ ขายได้ประมาณ 200 ถุงต่อวัน จน เสธ.พูดติดๆ กันสองวัน แล้วคุณประยุทธ์มาพูดอีก เลยขายได้วันละ 600 ถุงเลย ที่จริงออเตอร์มีมากกว่านั้นแต่ว่าผลิตไม่ทัน ผมทำได้วันละ 600 ถุงสูงสุด แต่ท้ายที่สุดต้องประกาศหยุดเพราะว่าเขาคิดว่าผมปลุกม๊อบชาวนา และมีแนวโน้มจะโดนแจ้งข้อหาเพิ่มเติมอีก”

เหตุผลจริงๆ ที่ประกาศหยุดคืออะไร?

“ผมประเมินว่าเขาไม่มีทางออก หมายถึงในฐานะของรัฐนะ ถ้าเขาปล่อยผมขาย ไม่หยุดผม ผมก็จะขายได้มากขึ้นเรื่อยๆ  แล้วเขาก็กลัวกระแสมันจะสูง ผมรู้ว่าเขาไม่มีทางออก”  

“ผมมีโอกาสคุยกับเจ้าหน้าที่ทหารที่ดูแลติดตามผม ก็เข้าใจว่าการประเมินของฝ่ายรัฐที่ประเมินกิจกรรมของผมแตกต่างจากไปจากสิ่งที่ผมทำ ผมคิดว่าผมทำข้าวขาย อาจจะมีลูกขำๆ นิดหน่อย แต่ฝ่ายนู้นเขาไม่ขำ จนช่วงหลังผมก็ไม่ขำ เลยคิดว่าต้องหาทางออกให้ทุกฝ่าย ถ้าคิดว่าผมจะก่อความวุ่นวายจากการขายข้าว ผมก็ยินดีจะหยุด”

รายได้จากการขายข้าวเยอะไหม โมเดลแบบโซเชียล เอ็นเตอร์ไพรส์เป็นไปได้ไหม ?

“ผมคิดว่าคราวนี้รวยเลย เป็นเถ้าแก่เลย (หัวเราะ) สมการข้างต้นเป็นไปได้เลย ผมซื้อข้าวไปประมาณ 70 เกวียนเดือนแรก ตั้งใจไว้ขอให้ได้สัก 15 เกวียนก็ดีสุดแล้ว คิดว่าชิวๆ แล้วชีวิต แล้วมันก็เกิดนวัตกรรมความรู้ใหม่ๆ จำนวนมากหลังจากที่ได้ขายไป เรารู้เลยว่าเราสามารถทำตลาดได้ใหญ่ๆ ได้มาก ผมเห็นโอกาส ผมเชื่อว่าผมสามารถทำร้านขายข้าวลายจุดได้เยอะกว่าเซเว่นอีเลฟเว่น ถ้าไม่มีใครขวางผมเลย อาจจะเวอร์ไปนิดหนึ่ง แต่ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง”

นอกจากความขัดแย้งกับรัฐแล้ว เรื่องขายข้าวยังขัดแย้งกันในกลุ่มเสื้อแดงด้วย

“จริงๆ มันไม่ควรจะขัดแย้ง ผมไม่เคยไปตอบโต้ในประเด็นเรื่องข้าวอีไรซ์ที่เขาทำ ผมเห็นว่าเป็นโมเดลที่ถูกต้องเช่นกัน เป็นอีกโมเดลเพียงแต่ว่ามันมีความแตกต่างกันอยู่นิดหน่อย เพราะผมทำเรื่องการตลาด มันมีระบบจัดส่ง ซึ่งคนที่มาทำระบบจัดส่งเขามีรายได้นะ ผมให้รายได้คนที่มาส่งข้าวให้ผมสูงกว่าบริษัทที่เขาขายข้าวถุงอีก ถุงละ 25 บาท แต่ผู้ส่งข้าวทั่วไปจะได้ถุงละ 10 บาท ส่วนอีไรซ์ใช้วิธีการทำทีละตัน ทีละน้อยๆ ใช้วิธีการฝาก  ใครมีรถก็ใช้วิธีฝากมา  มันอาจจะยังเป็นข้อจำกัด”

จากกรณีขายข้าวสะท้อนให้เห็นว่าสมบัติขยับตัวทำอะไรก็ไม่ได้

“ทำได้ยาก ตอนที่ผมไปส่งนาฬิกาที่อยุธยา ตอนนั้นก็ขายข้าวอยู่ด้วย พอดีผมมีลูกค้าซื้อนาฬิกาล๊อตใหญ่รวมกันมา 12 เรือน ผมขับรถไปส่งเอง ตำรวจสันติบาลขับรถตามผมไป ผมกะว่าจะไปนอนค้างที่นั่นสักคืน ปรากฏว่าตำรวจสันติบาลมาเช่ารีสอร์ทเดียวกัน เขาคงคิดว่าผมจะมีประชุมกับพวกแกนนำ ผมเดานะ แต่ที่แน่ๆ ผมรู้ว่าเขาตามผมไปล้านเปอร์เซ็น คงคิดว่าผมจะไปปลุกระดมชาวนาที่อยุธยา ซึ่งไม่มีนะ ใครๆ ก็รู้ว่าผมจะไปส่งนาฬิกาที่อยุธยาเพราะผมโพสต์ลงเฟซบุ๊ค”

คดีอีรุงตุงนังและโดนจับจ้องแบบนี้ ใช้ชีวิตอย่างไร ?

“ใช้ชีวิตไม่ปกติ ผมใช้ชีวิตแบบที่ยังห่างไกลจากคำว่าความสุข หรือการมีอิสระเสรีภาพ ผมอาจเป็นคนในหนึ่งเปอร์เซ็นที่บอกว่าที่นี่ไม่เป็นประชาธิปไตย และใช้ชีวิตแบบต้องคิดซับซ้อนมากว่าอะไรทำได้ ทำไม่ได้ ตอนนี้มีคนชวนผมไปกินแมค (แมคโนนัลด์) แบบนัดเจอกันเฉยๆ ผมคิดหนักเลย เกิดมีตำรวจทหารไปกินแมคแล้วเจอ ผมจะเข้าข่ายปลุกระดมอีกไหม วันก่อนผมไปกินกาแฟทรูหลังจากไปส่งนาฬิกาที่ศูนย์ราชการแล้วก็นั่งคุยกับเพื่อน อยู่ๆ ทหารเดินเข้ามาถ่ายรูปขณะที่ผมกินกาแฟกับเพื่อนเฉยเลย งงมาก”

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net