Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

 

เรื่อง"ห้ามท้อง"ของ รพ.ราชวิถีนั้นสนุกจริงๆ ครับ

ใครเห็นก็รู้ว่านี่เป็นเรื่องผิดกฎหมาย (อย่างที่นักกฎหมายและนักสิทธิมนุษยชนได้ชี้ให้เห็นแล้ว) แต่ที่หนักกว่าคือผิด "ความรู้สึก" ของคนทั่วไป

ประการแรก ประกาศไม่ได้ชี้แจงเหตุผลว่า ทำไมถึงท้องไม่ได้ จึงดูเหี้ยมโหดกว่านโยบายของรัฐบาลจีนและประเทศอื่นๆ ที่ต้องการคุมจำนวนประชากร ในประเทศเหล่านั้น เขาไม่ได้ออกกฎหมาย "ห้ามท้อง" (ลูกคนที่สอง) แต่ออกกฎหมายที่ไม่ให้สิทธิประโยชน์แก่ลูกคนที่สองอย่างที่ได้กับลูกคนแรก พูดอีกอย่างหนึ่งคือใช้มาตรการทางเศรษฐกิจบังคับให้การมีลูกเกินหนึ่งคน (หรือไม่เกินจำนวนที่รัฐกำหนด) ทำให้ "ขาดทุน"

ผมไม่ทราบว่าประกาศ "ห้ามท้อง" ของแผนกนี้ใน รพ.ราชวิถีมีมาก่อนรัฐประหาร 22 พ.ค.หรือไม่ แต่ดูเหมือนหัวหน้าแผนกจะคิดว่า สำเนียงของเผด็จการเป็นคำสั่งที่มีประสิทธิภาพที่สุด เพราะฝ่าฝืนเมื่อไร เป็นตกงานทันที

ประการที่สอง คำสั่งนี้ฝืนธรรมชาติของมนุษย์ที่เหมือนสัตว์ทั้งหลาย คือต้องการสืบเผ่าพันธุ์ตัวเอง วัฒนธรรมมนุษย์ตั้งแต่สมัยหินแสดงว่า การให้กำเนิดสืบเผ่าพันธุ์ (procreation) เป็นพรอันประเสริฐ เป็นโอกาสแห่งการฉลองของชุมชน เป็น "ความอุดมสมบูรณ์" ที่ขาดไม่ได้ของการมีชีวิตรอดของเผ่าพันธุ์ คนที่เห็นประกาศนี้จึงตระหนกในส่วนลึกของจิตใจอย่างมาก

ที่น่าสนใจกว่าประกาศนี้เสียอีก ก็คือปฏิกิริยาของผู้บริหารระดับต่างๆ ต่อข่าว "ห้ามท้อง" ในสื่อ

นายยงยุทธ ยุทธวงศ์ ซึ่งเป็นรองนายกฯ บอกแก่ผู้สื่อข่าวว่า เรื่องนี้ละเมิดสิทธิมนุษยชน ดังนั้น ผู้ที่ได้รับผลกระทบก็ควรไปฟ้องกรรมการสิทธิมนุษยชน เป็นตลกร้ายอีกเรื่องหนึ่งในรอบปี เพราะท่านรองนายกฯพูดประหนึ่งว่า เมื่อมีกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติแล้ว รัฐก็หมดหน้าที่ปราบและปรามการละเมิดสิทธิมนุษยชนไปโดยสิ้นเชิง แม้แต่การละเมิดนั้นกระทำโดยหน่วยงานของรัฐเอง เหยื่อของความรุนแรงที่กระทำโดยเจ้าหน้าที่รัฐในภาคใต้ (เช่น ทหารยิงเด็กตาย เพราะขอโทษ ยิงผิด) อาจได้รับเงินเยียวยาจากรัฐ แต่คนในพื้นที่อย่าพึงหวังว่า จะมีมาตรการใดๆ ของรัฐตามมา เพื่อลดการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นอันขาด

ประชาชนอีกจำนวนมากที่ถูกจับกุมคุมขัง หรือลิดรอนเสรีภาพในด้านต่างๆ เพราะเจ้าหน้าที่รัฐใช้กฎอัยการศึก ตีความเอาเองว่าขัดขืนอาญาสิทธิ์ของอัยการศึก ก็พึงก้มหน้ารับกรรมต่อไปแต่โดยดี เพราะรัฐเผด็จการไม่เห็นเป็นหน้าที่ของตนที่จะปกป้องสิทธิมนุษยชน

จะหาใครเป็นรองนายกฯ ของรัฐบาลเผด็จการได้ดีไปกว่าคนอย่างนี้ได้เล่า

แต่ผู้บริหารระดับรองลงมาใช้วิธีทางการเมืองอย่างแสดงความรับผิดชอบมากกว่า ไล่ตามลำดับตั้งแต่ รมต.สาธารณสุข ไปจนถึงผู้อำนวยการ รพ. ยิ่งเล็กก็ยิ่งดูจะรับผิดชอบมากขึ้น

รมต.สาธารณสุขกล่าวว่า ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ แต่กระทรวงไม่เคยมีนโยบาย "ห้ามท้อง" แก่บุคลากรของตนแต่อย่างใด จบ ดังนั้น หากเรื่องนี้เกิดขึ้นจริง ก็ถือว่าไม่ตรงกับนโยบาย กระทรวงก็ไม่ผิดเพราะมีนโยบายแล้ว ตัวท่านก็ไม่ผิดเพราะได้ยืนยันนโยบายแล้ว หากจะหาคนผิดให้ได้ โน่นลงไปดูล่างๆ โน่น คงมีใครสักคนผิด

ถ้าไม่ต้องการลงโทษคนผิด แต่ต้องการแน่ใจว่า กระทรวงสาธารณสุขจะมีมาตรการอะไร เพื่อป้องกันมิให้เกิดการละเมิดนโยบายเช่นนี้อีกในอนาคต ก็ไปถามหมอดูเอาเอง รัฐมนตรีไม่เกี่ยว

ผู้อำนวยการ รพ.ซึ่งเป็นผู้บริหารระดับเล็กลงมาอีก ตอบคำถามนักข่าวอย่างรับผิดชอบมากที่สุด ท่านบอกว่าแผนกที่ออกคำสั่งมีคนท้องเสมอ ทำให้ขาดแคลนบุคลากรภายใน จึงทำการตกลงกันภายใน ได้ตักเตือนหัวหน้าแผนกแล้วว่าทำไม่ได้ พร้อมทั้งสัญญาว่าหากขาดแคลนก็จะให้ความช่วยเหลือ (คงหมายความว่าโอนย้ายบุคลากรจากแผนกอื่นมาช่วยงานกระมัง)

ที่น่าสงสัยก็คือ หัวหน้าแผนกนั้นไม่เคยนำปัญหาขึ้นหารือกับ ผอ.บ้างหรือ ผอ.หรือหัวหน้าแผนกไม่เคยนั่งวิเคราะห์ปัญหานี้ว่ามาจากช่วงวัยของคนทำงาน หรือเหตุอื่นๆ บ้างหรือ เพื่อหามาตรการด้านการจัดการบุคลากรในทุกแผนก บรรเทาปัญหาเช่นนี้ลงได้ อย่างน้อยก็ในระดับหนึ่ง การเป็นผู้บริหารคือทำอย่างนี้แหละ มองทะลุปัญหาของปัจจุบัน เพื่อหาทางออกแก่อนาคต ไม่ใช่เพ้อเจ้อกับปัญหาปลีกย่อยเหมือนคนบางคน

แต่จะไปหวังอะไรกับผู้บริหารระดับ ผอ.รพ. ผู้บริหารที่เป็นนักการเมืองระดับสูงขนาดรองนายกฯและรัฐมนตรี ยังปัดความรับผิดชอบเหมือนสวะเช่นนั้น ไม่ต่างจากกัน

เมื่อพูดถึงคนบางคนแล้ว ทำให้อดนึกถึง "ค่านิยม 12 ประการ" ไม่ได้

ผมเข้าใจว่า เมื่อหัวหน้าคณะรัฐประหารพูดเรื่องนี้ ท่านไม่ได้ตั้งใจจะให้ใครเอาไปทำเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต บังคับให้เด็กท่องจำเป็นอาขยาน ผมก็นั่งดูทีวีอยู่ด้วย ก็เข้าใจว่าท่านพูดของท่านไปเรื่อยๆ เหมือนไม่ได้ตั้งใจนับมาให้เป็น 12 ข้อ เพราะเอาเข้าจริงใน 12 ข้อนั้น ก็มีความซ้ำกันอยู่หลายข้อ และบางข้อก็อาจแยกออกเป็นมากกว่าหนึ่งได้ เจตนาของท่านอาจเพียงแต่กระชับความสัมพันธ์ในเครือข่ายต่อต้านประชาธิปไตย หรือพยายามจะสานสัมพันธ์กับกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร โดยดึงเอาค่านิยมซึ่งเคยเป็นที่ยอมรับในสังคมไทยอยู่แล้วขึ้นมาเชิดชู

ผมไม่มีอะไรขัดข้องกับค่านิยมเหล่านี้ หากเป็นค่านิยมส่วนตัวของใครสักคน เขาก็มีสิทธิจะมีค่านิยมเหล่านี้ได้ตราบเท่าที่ไม่ไปละเมิดเสรีภาพของคนอื่น แต่โลกที่ปล่อยให้ใครยัดเยียดค่านิยมส่วนตนให้แก่คนอื่นนั้นได้ผ่านไปแล้ว และอาจผ่านไปนานกว่าที่เราคิดก็ได้ อย่างน้อยตั้งแต่สมัย ร.6 เป็นต้นมา ก็มีคนที่ไม่เห็นด้วยกับค่านิยมของอัศวพาหุเป็นจำนวนไม่น้อยแล้ว

ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนไปอย่างไร โลกปัจจุบันก็ยังต้องการค่านิยมที่ถือร่วมกันในคนหมู่มากของสังคมอยู่ดี แต่เราจะบรรลุฉันทามติเช่นนั้นได้อย่างไร วิธีใช้อำนาจบังคับเป็นวิธีที่ไม่นำไปสู่ความสำเร็จแน่นอน แม้แต่ในโลกโบราณ การสถาปนาค่านิยมใดๆ ขึ้นในสังคมก็ต้องใช้วิธีอันสลับซับซ้อนกว่าอำนาจมากทีเดียว

อย่าลืมว่าค่านิยมเป็นเรื่องของความคิดจิตใจ ไม่ใช่พฤติกรรมทางกาย อำนาจจึงเข้าไม่ถึง บังคับไปก็ได้แต่การท่องจำและตอบข้อสอบอันเป็นพฤติกรรมทางกายที่ไม่เกี่ยวอะไรกับความคิดจิตใจเลย

ค่านิยมในโลกปัจจุบันเกิดได้จากการใช้สติปัญญาคิด ถกเถียงแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์กัน เพราะมันไม่มีอะไรที่ง่ายขนาดที่จะเป็นอาขยานได้สักเรื่องเดียว เช่น ระหว่างกตัญญูต่อบุพการี กับศีลธรรม, ศาสนา และวัฒนธรรม อาจไปด้วยกันไม่ได้ในบางกรณี เป็นต้นว่าพ่อทำผิดกฎหมาย ควรจะรายงานเจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่ หรือขโมยอาหารเพื่อให้แม่ตาบอดแขนขาพิการได้กินสักมื้อ จะต้องเลือกอย่างไหนก่อน ต่อต้านรัฐประหารเป็นการ "คิดอะไร ให้ส่วนรวม" หรือไม่ หากเชื่ออย่างสุจริตใจว่ารัฐประหารย่อมทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อย่างแน่นอน

ถกเถียงแลกเปลี่ยนกันแล้ว ก็ใช่ว่าจะได้คำตอบเด็ดขาดสักเรื่องเดียว แต่ทำให้ค่านิยมเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการคิด ไม่ว่าจะคิดรับหรือคิดปฏิเสธ

แต่กระทรวงศึกษาฯก็รับเอาค่านิยมนี้ไปทำให้เป็นอาขยาน ลงทุนติดป้ายค่านิยม 12 ประการทั่วทุกโรงเรียนในราชอาณาจักร และบังคับให้นักเรียนท่องบ่นให้ขึ้นใจ พูดอีกอย่างหนึ่งคือพยายามสถาปนาค่านิยมนี้ให้เป็นของสังคมด้วยอำนาจ ที่น่าตระหนกอย่างยิ่งก็คือ คนเหล่านี้เป็นผู้บริหารการศึกษาของประเทศ เราปล่อยให้การศึกษาตกไปอยู่ในมือคนเหล่านี้ได้อย่างไร ในมือของคนเช่นนี้ ลูกหลานเราจะโตขึ้นมาด้วยทักษะที่จะเผชิญกับโลกข้างหน้าได้ละหรือ

ทั้งหมดนี้คือปัญหาของระบอบเผด็จการ โดยเฉพาะเผด็จการในสังคมที่ผู้คนส่วนใหญ่มีสำนึกทางการเมืองของระบอบประชาธิปไตยไปแล้ว (แม้แต่ กปปส.หรือ คสช.เองก็อ้างว่าจะสร้างประชาธิปไตยที่สมบูรณ์) ทำให้เผด็จการไม่มีความวางใจในอำนาจของตนเอง จึงหวังให้ลูกกะโล่ทั้งหลายแสดงความสนับสนุนและปกป้องอำนาจเผด็จการของตนอย่างกระตือรือร้น ลูกกะโร่ที่เกาะเผด็จการกินอยู่ หรือตกใต้อำนาจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงต้องกระตือรือร้นให้เห็น

ผลคือการปัดความรับผิดชอบให้พ้นตัวดังกรณี "ห้ามท้อง" หรือกระตือรือร้นจนทำให้อำนาจเผด็จการกลายเป็นเรื่องตลกพ้นสมัย อย่างเห็นได้ชัดโดยอาจไม่ได้ตั้งใจ

 

ที่มา: มติชนออนไลน์

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net