เห็นบัญชีทรัพย์สิน สนช.แล้วต้องสรรเสริญ ส่วนใหญ่รวยเกิน 50 ล้าน แต่กำลังจะยกมือผ่านภาษีมรดกสละ 10% ให้แผ่นดิน เชื่อด้วยเกียรติว่าท่านคงไม่เลี่ยงภาษีโอนให้ลูกก่อนตาย 2 ปี

เห็นบัญชีแม่ทัพนายกองแล้วยิ่งดีใจ ใครว่ารับราชการสัตย์ซื่อรวยไม่ได้ นายพลสิบล้านร้อยล้านเยอะไป เป็นกำลังใจให้เด็กรุ่นลูกหลานแห่เข้าเตรียมทหาร อย่าถามว่ารวยจากไหน ก็อาจจะได้มรดก ได้เมียรวย หรือถูกหวย ตอบง่ายจะตาย

แต่ที่เซอไพรส์ อึ้งทึ่งไปทั้งประเทศ คือ 8 อธิการบดี 4 อาจารย์มหาวิทยาลัย มีทรัพย์สินรวมกันพันกว่าล้าน พลิกภาพผู้บริหารมหาวิทยาลัยที่ใครๆ ก็คิดว่าพอเพียงสมถะ กระทั่งประชุมไล่นักการเมืองชั่ว

รวยแล้วเป็นไร ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ทรัพย์สิน แต่ดูรายได้ต่อปี รายได้จากตำแหน่งอธิการบดี เกษตรฯ, ศรีนครินทร์, ขอนแก่น 1-2 ล้านบาท ธรรมศาสตร์, นิด้า 2 ล้านกว่า จุฬาฯ, เชียงใหม่ 4 ล้าน รามคำแหงฟาดไป 11.5 ล้าน โดยท่านแจ้งว่าเงินเดือน 959,640 บาท ค่าตอบแทน บำนาญ เบี้ยประชุม 10.6 ล้านบาท

บร๊ะเจ้า นั่นมากกว่าเงินเดือน "บิ๊กตู่" หลายเท่าต่อให้เอาทุกเก้าอี้รวมกัน อธิการบดีรามฯ ท่านแจ้งอย่างบริสุทธิ์ใจด้วยนะว่าใช้จ่ายทัวร์นอก 2 ล้านบาท ไม่ทราบนั่งเครื่องเฟิร์สต์คลาสหรือเปล่า จิบไวน์ขวดจะเท่าไหร่ แต่ก็เงินส่วนตัวของท่าน ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ไม่เกี่ยว

นี่เป็นตัวอย่างความร่ำรวยโดยปกติ โดยชอบด้วยกฎหมาย ของอธิการบดีซึ่งมีอีกมากมายที่ไม่ได้เผยบัญชีทรัพย์สิน พวกท่านไม่ต้องทุจริตโกงกินแบบนักการเมือง เพราะสามารถกำหนดเงินเดือนตัวเองเท่าไหร่ก็ได้ ผ่านข้อบังคับสภามหาวิทยาลัย โดยไม่ต้องสนใจว่าใครจะจัดอันดับต่ำกว่าเขมร ลาว

มหา'ลัยไทย ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนออกนอกระบบ เป็นอาณาจักรอิสระในกำกับของรัฐ มหา'ลัยที่ออกนอกระบบไปแล้วมี 16 แห่ง รวมทั้งจุฬาฯ เชียงใหม่ อธิการบดี 2 ท่านจึงมีเงินเดือน 3 แสนกว่าบาท (เดี๋ยวรอดูมหิดลอีกรายว่า อ.รัชตะ รัชตะนาวิน แจ้งเงินเดือนหรือไม่) อีก 6 แห่งที่กำลังจะออกก็รวมทั้งเกษตรฯ, ศรีนครินทร์, ขอนแก่น, ธรรมศาสตร์ อธิการบดี 4 ท่านจึงยังเงินเดือนน้อย รามคำแหงก็ยังไม่ออก อธิการบดีได้แค่ 8 หมื่น ฮิฮิ

แต่ต่อให้มหา'ลัย ยังอยู่ในระบบ อธิการบดีก็รวยได้ อาศัยช่องมติ ครม.2542 ผู้บริหารและอาจารย์ที่เข้าใหม่กลายเป็นพนักงานมหา"ลัยสัญญาจ้าง อธิการบดีราชภัฏหลายแห่ง ลาออกจากข้าราชการเงินเดือน 4-5 หมื่น เปลี่ยนเป็นพนักงานสัญญาจ้าง 3 แสน พร้อมรถประจำตำแหน่ง เบี้ยประชุม โดยยังได้บำนาญพร้อมสวัสดิการ

นี่ยังไม่พูดถึงการเปิดโครงการ พิเศษ ปริญญาโท ปริญญาเอก "จ่ายครบจบแน่" สำหรับนักการเมืองและผู้บริหาร ตั้งตัวเป็นประธานรับค่าตอบแทน กี่โครงการก็ได้ ซ้ำยังมีอำนาจเลือกคนสอน ว่าจะให้ใครบรรยายชั่วโมงละห้าพัน

ถามว่ากรรมการสภามหา'ลัยเป็น เจว็ด หรือกรรมการมาจากไหน ครึ่งหนึ่งมาจากผู้บริหารโดยตำแหน่ง แล้วผู้บริหารก็เสนอชื่อผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้ทรงคุณวุฒิกลับมาเป็นตรายางเลือก ผู้บริหาร ปลาวนในอ่าง สืบทอดอำนาจใน "ก๊วนคนดี" คะแนนสรรหาไม่มีความหมาย เพราะการเลือกตั้งอาจได้คนชั่ว กระทั่งตั้งคณบดีบัญชี ธรรมศาสตร์ ยังฉีกโผสรรหา

ถามว่าอาจารย์ทำไมไม่ต่อต้าน ก็อาจารย์ที่เข้าหลังปี 2542 เป็นพนักงานสัญญาจ้าง เป็นพลเมืองชั้นสอง ไม่มีกระทั่งสวัสดิการรักษาพยาบาล ต้องเข้าคิวประกันสังคม ฉะนั้นอย่าบังอาจหือกับผู้บริหาร ตกงานเอาง่ายๆ อย่าพูดถึงอิสระทางวิชาการหรือเลือกข้างผิดทางการเมือง แบบ อ.หวาน สุดา รังกุพันธุ์ แค่สถาบันราชภัฏแห่งหนึ่งทางใต้ มีอาจารย์ 3 คนได้รับเลือกเป็นกรรมการสภา สงสัยจะซ่ามากไป เลยโดนเลิกจ้าง ถูกสอยจากกรรมการกลางอากาศ ป่านนี้ยังฟ้องศาลปกครองไม่จบ

มหา'ลัยออก นอกระบบจึงต้องฝากความหวังไว้กับที่ประชุมอธิการบดีที่อยู่ในศีลในธรรม หวังให้คนดีงอกรากหรือสืบทอดอำนาจต่อไป ถ้าได้คนชั่วเมื่อไหร่คงฉิบหาย อ.รัชตะท่านจึงสีทนได้ไม่อยากลาออก (แต่อยากรู้จริงๆ เงินเดือนเท่าไหร่) มหา"ลัยบางแห่งทางเหนือสุด อธิการฯท่านเป็นครบ 8 ปี 2 สมัย ก็ต้องใช้ "ระบอบปูติน" ให้รองอธิการฯในคาถาขัดตาทัพ แล้วท่านกลับมาอีก 8 ปี เพื่อดีตายคาเก้าอี้

อธิการบดีทั้งหลายท่านรวยปกติ อย่าใช้จิตใจคนต่ำช้าวัดวิญญูชน ถ้าท่านอยากรวยผิดปกติก็ไม่มีใครตรวจสอบได้ เพราะทรัพย์สินมหา"ลัยอยู่นอกระบบ ไม่ว่าทรัพย์สินจุฬาฯ หรือสหกรณ์ออมทรัพย์มหา'ลัยต่างๆ ที่มีเงินหมุนเวียนหลายหมื่นล้าน ส่วนที่อธิการบดีบางท่านจ้างเหมาก่อสร้าง 3 พันกว่าล้านได้บริษัทของเพื่อนสนิท ที่เป็นกรรมการสภาด้วย ก็อย่าคิดอกุศล ท่านเลือกคนกันเองอย่างโปร่งใสเพื่อรับใช้สถาบันที่เล่าเรียน